ไม่ได้กลับมากิน Sra Bua น่าจะปีนึงแล้วมั้ง😁 ครั้นจะกลับมาก็มาติดต่อกันสองครั้ง😜 ครั้งแรกมาเพราะVoucherกำลังจะหมดอายุ ครั้งที่สองนี่โดนร้านอาหารที่จองไว้แถวนั้นเทเลย Walk in มากินSrabua แก้ช้ำ ครั้งที่สองนี่มาก่อนร้านเปลี่ยนเมนูวันเดียวเองแอบเสียใจเลยต้องกินเมนูเดิม ฮ่า แต่ก็สนุกไปอีกแบบได้เทียบอาหารของทั้งสองครั้งแบบเกมจับผิด ฮ่าๆ
Sra Bua เป็นห้องอาหารไทย Molecular Gastonomy ที่ผมว่าคุ้มค่ามากๆ เมื่อเทียบราคาเเละสิ่งที่ได้รับ เพราะช่วงนี้มีโปรโมชั่นกระหน่ำ ไม่ว่าจะเป็นทั้งบัตรเครดิต Citi Bank, SCB หรือจะเป็นการซื้อ Voucher Staycation ที่ให้ส่วนลดตั้งแต่ 10% ขึ้นไป เรียกว่าเรากินไฟน์ไดน์แบบไม่เป็นภาระกระเป๋าตังค์นัก
Sra Bua เป็นห้องอาหารไทยที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น G ของโรงแรม Siam Kempinski เป็นร้านที่เรียกว่าเดินทางมาสะดวกมากๆ ครับ อยู่ติด Siam Paragon ลง BTS สยาม เดินมายังได้ รวมถึงมี SET Lunch ในราคาย่อมเยาว์ ทำให้สระบัวเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียวสำหรับการหลบหนีความวุ่นวายใจกลางเมืองเพื่อหาอาหารดีๆ ซักมื้อ
สำหรับเมนูของสระบัวนั้น จะมีทั้ง A la Carte และ Set course โดยมีสามคอร์สให้เลือก มื้อกลางวัน 4 จาน 1,850++ มื้อเย็น 6 จาน 2,600++ และ 8 จาน 3,200++
ในส่วนในอาหารของที่นี่ สิ่งที่ผมชอบเลยคือความสุดยอดในการชูจุดเด่นของอาหารไทยและสแกนดิเนเวียได้อย่างกลมกลืน ครั้งที่แล้วผมพบว่าในหลายจานนั้นดูยังไม่ค่อยลงตัวมากนัก แต่คราวนี้นั้นทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางมากขึ้นและลงตัวไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการปรุงอย่างการนำการดองแบบสแกนดิเนเวียมาใส่กับจานยำ หรือจะเป็นการ cured วัตถุดิบ หรือรสชาติที่ทำออกมาได้ดี รวมถึง Amuse bouche ที่แสนสนุกและจุใจ ทำให้ผมและเพื่อนรวมโต๊ะต่างลงความเห็นว่ามื้ออาหารที่ Sra Bua เป็นมื้ออาหารที่สนุกสนานและคุ้มค่ามากๆ ครับ
จะตินิดนึงตรงที่วันแรกแม้จะมีโต๊ะแน่นมากๆ แต่อาหารกลับดูออกรวดเร็ว ไม่ติดขัด แต่วันที่สองนี้อาหารดูออกช้ากว่าวันแรกอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะผม Walk in ก็เป็นได้ และอาหารยังไม่นิ่งเท่าที่ควรได้รับจากร้านระดับนี้
สำหรับการบริการนั้น ผมรู้สึกอย่างเห็นได้ชัดเลยว่ามาตรฐานของร้านไม่ชัดเจน อาจจะเป็นเพราะผมไปสองครั้งติดๆ กันด้วยละครับความต่างนี้เลยยิ่งชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น พนักงานท่านนึงใส่น้ำหอมกลิ่นฉุนมากจนทำให้เราเสียอรรถรสในการรับประทานอาหารไปเลย การอธิบายจานอาหารแต่ละจานนี้เห็นได้ชัดเจนเลยบริกรหญิงในวันที่สองของผมนั้น อธิบายเพียงชื่ออาหารสั้นๆ แต่ บริกรชายอีกท่านในวันแรกอธิบายตั้งแต่ที่มา Conceptหรือแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ในจานอย่างต้มยำนั้นวิธีการกินที่บริกรแนะนำนั้นต่างกัน หรือจะเป็นการการทำซุปSyphon วันแรกที่ลูกค้าแน่นร้านแต่เรารอซุปเสร็จที่โต๊ะเพียงห้านาที แต่ในคราวหลังนั้นผมและเพื่อนร่วมโต๊ะต้องรอกว่า 20 นาทีทั้งที่ในร้านมีสองโต๊ะ (โต๊ะข้างๆ ก็บ่น) ที่ฮาที่สุดคือ Truffle ในจานต้มข่า วันที่สองโต๊ะของผมเป็นอิตาลี แต่โต๊ะข้างๆ บริกรบอกว่าฝรั่งเศส ไม่มีโต๊ะที่สามผมเลยไม่รู้ว่าทรัฟเฟิลหมดกลางคันหรือบริกรบอกผิด
ผมว่าทางร้านอาจจะต้องกำหนดมาตรฐานให้ชัดเจนเพื่อที่จะให้ลูกค้าทุกท่านได้รับประสบการณ์ที่เหมือนกันครับ แต่โดยรวมการบริการของร้านถือว่าได้โอเค ใส่ใจดีไม่มีอะไรแย่ ที่ชอบเลยคือเพื่อนรวมโต๊ะของผมในวันแรกนั้นค่อนข้างกินยาก บริกรมีการอธิบายแต่ละเมนูทีละจานๆ อย่างใจเย็นดูใส่ใจดีมากๆ ครับ อีกอย่างคือการสามารถฝากสัมภาระและถุงช็อปปิ้งได้ อารมณ์เหมือนร้านในเมืองนอกเลย
โดยทั้งสองวันผมเลือกคอร์สแบบแปดจานเหมือนกัน แต่เพื่อความสนุกวันที่สอง ผมขอเปลี่ยนจานหลักเป็นปลาแบบคนไม่ทานเนื้อละกัน จะมีอะไรบ้างไปชมกันครับ
Welcome Drink เป็นน้ำตะไคร้ใบเตยเย็น รสหวานนิดๆ ชื่นใจดีครับ
Amuse Bouche จานนี้ถือเป็นขนมที่ผมตั้งตารอทุกครั้ง มันให้ความรู้สึกคล้ายกินข้าวกรอบญี่ปุ่นที่ไม่ต้องเคี้ยวดีครับ มันคือเมอแรงค์โชยุและครีมวาซาบิ โยเกิร์ต ออนท็อปด้วยเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ คำนี้อร่อยเลยครับ มาครั้งที่แล้วผมว่าตัวเมอร์แรงค์นั้นค่อนข้างแข็งไปนิดแต่คราวนี้กรอบเบากำลังดีเลย ตัวเมอแรงค์รสหวานๆ เค็มๆ หอมโชยุ ตัดกับไส้ครีมมันๆ เปรี้ยวนิดๆ ที่มีความฉุนของวาซาบิให้รู้สึกเย็นหน่อยๆ รสมันของถั่วประสาน เข้มข้นอร่อย
ส่วนอีกชิ้นเป็นถุงพลาสติกกับข้าวพองรสต้มข่า เป็นจานที่น่าตื่นตาดีครับถ่ายรูปแล้วดูเท่ แต่ผมว่าครั้งที่สองครั้งที่สามคงเบื่อ ตัวถุงนั้นจะทำจากเจลาตินสามารถกินได้ครับ ส่วนตัวว่าตัวถุงนี้ถ้าใส่กลิ่นหรือรสลงไปสักนิดน่าจะดีกว่านี้จะได้ลดความเป็นเจลาตินลง ส่วนตัวไส้ข้าวพองนั้นมีรสเปรี้ยวๆ หวานๆ รสต้มข่าไม่ค่อยออก โดยรวมเป็นจานที่สนุกครับ
ไส้อั่วไก่รมควัน โดยบริกรแจ้งว่าได้แรงบันดาลใจจากควันรถตุ๊กตุ๊ก ในวันแรกบริกรที่ยกมาเสิร์ฟใส่น้ำหอมกลิ่นฉุนไม่ได้กลิ่นเลย วันที่สองโอเคครับได้ความสโม็คกี้เผ็ดๆ จากควัน รสตามมาตรฐานไม่จัดมาก กลิ่นเนื้อสัตว์และสมุนไพรอ่อนๆ ตัวผักดองเค็มนำหวานเข้ากันดีครับ
ไก่สะเต๊ะในแบบของสระบัวนั้นทำจากหนังไก่ทอดและผงขมิ้น รับประทานกับไอศกรีมรสอาจาดและถ้่ว คราวที่แล้วผมเจอหนังไก่อมน้ำมันจนกลบกลิ่นไอศกรีม ครั้งที่สองนี้ตัวหนังไก่จะไม่อมน้ำมัน กรอบบางหอมกลิ่นขมิ้นอ่อนๆ เข้ากับไอศกรีมรสเปรี้ยวหวานอ่อนมันจากถั่วใกล้เคียงกับสะเต๊ะได้ดีมากๆ รอบแรงนั้นไอศกรีมนุ่มกำลังดีตัดกับเท็กซ์เจอร์ความกรอบของหนังไก่ อีกรอบมาแข็งเป็นน้ำแข็งเลยจนเสียอรรถรสในการกินไปบ้าง อาจจะเป็นเพราะผมวอล์คอินเข้ามาทางร้านเลยไม่ได้เตรียมไว้ครับ
โคนแกงครีมเขียวหวานปู คำนี้ตัวแป้งที่ทำจากแป้งเกี๊ยวแข็งไปนิดจนทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยสมดุลเมื่อตัดกับครีมที่ฟูเบา ครีมแกงเขียวหวานนั้นเครื่องแกงไม่จัดมากครีมมี่นิดๆ ไม่กลบรสหวานปู
จานนี้อาจเป็นจานที่หน้าตาประหลาดแต่ทำออกมาได้ดีทั้งรสชาติและไอเดียเลยครับ โดยได้แรงบันดาลใจจากการรับประทานหอยนางรมและน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบไทย เชฟนำใบ Oyster leaf ที่มีรสชาติเหมือนหอยนางรม มาเพิ่มเท็กซ์เจอร์และความหวานด้วยหอยเชลล์ที่ cure น้ำเกลือ ก่อนออนท็อปด้วยน้ำยำแบบไทยที่มาในรูปแบบ Caviar, pearl รสกะทิและหน่อไม้ฝรั่ง
ใบไม้ตัวนี้ถ้าใครยังไม่เคยกินมันจะมีรสมันๆ และกลิ่นคล้ายหอยนางรม เลยเป็นที่มาของชื่อของมัน แม้ผมจะเคยลองเจ้าใบนี้มาหลายรูปแบบ แบบ Cocktail ยังเคย แต่สุดท้ายตัวที่ผมรู้สึกว่าขาดหายคือความหวานและเท็กซ์เจอร์แบบหอยนางรมซึ่งสระบัวเอาตรงนี้มาเติมเต็มด้วยหอยเซลล์ ตัวคาเวียร์นั้นรสน้ำยำก็ทำออกมาได้ดีเปรี้ยวอมหวานไม่เผ็ดมาก รสไม่จัดเกินไปทำให้ไม่กลบกลิ่นใบหอยนางรม ทำได้ดีมากๆ ครับ
ใบโอบะเทมปุระกับกับครีมมิโซะ คำนี้ผมว่าอมน้ำมันไปนิด กลิ่นโอบะไม่ค่อยออก ไม่ชอบครับ ได้กลิ่นรสไม่ครบ
อันต่อมาเป็น Chip รสใบมะกรูดรับประทานกับซาวด์ครีม ตัวแป้งค่อนข้างแข็งคล้ายขนมขาไก่ รสมันๆ ตัดกับรสครีมอมเปรี้ยว หอมมะกรูดเล็กๆ โอเคเลยครับ
Amuse Bouche คำสุดท้ายเป็นเมี่ยง เมี่ยงของที่นี่ต่างจากที่อื่น ตรงที่จะใส่น้ำเสาวรสและสับปะรดด้วย โดยตัวน้ำเมี่ยงจะปรุงกันสดๆ ตรงหน้า โดยตัวผมนั้นรู้สึกว่าเมี่ยงของที่นี่จะมีรสนวลๆ กว่าที่อื่นและออกกลิ่นอาย Tropical fruit ไม่หวานแน่นหรือเปรี้ยวโดด หอมกลิ่นกุ้งแห้งด้วย และปิดท้ายด้วยรสร้อนของพริกที่ปลายลิ้นครับ
ปรุงกันสดๆครับ
กว่าจะจบ Amuse Bouche เขียนเหนื่อยแล้ว เข้าสู่จานแรกของเราโดยจานนี้ Tribute ถึงต้นกำเนิดของร้านที่มาจากร้าน Kiin Kiin ร้านมิชลินสตาร์ในกรุง Copenhagen โดยเชฟต้องการสื่อถึง Nordic Country ซึ่งไม่มีอะไรจะดีกว่าปลาแซลมอนและความหนาวเย็นครับ โดยเชฟจะนำเจ้าปลาเนื้อส้มมา cure เกลือ น้ำตาล รับประทานกับแตงกวาบ่มน้ำแตงกวา ผงปลาโอญี่ปุ่น ออนท็อปด้วย เกล็ดหิมะรสงาวาซาบิโยเกิร์ต ก่อนราดด้วยซอสพอนซึ จานนี้เย็นและสดชื่นจากแตงกวาที่เข้ากับเนื้อปลาแซลมอนรสมันและพอนซึที่เปรี้ยวหวานได้อย่างลงตัว แต่ส่วนตัวคิดว่าเกล็ดหิมะนั้นกลิ่นวาซาบิไม่ค่อยชัดเจน แต่ก็อร่อยดีตามมาตรฐานร้านอาหารครับ
มาถึงอาหารจานเดียวที่ผมว่าแยกออกเป็นสองคอร์สยังได้ กับซุปต้มยำกุ้งSyphon กับเส้นเต้าหู้สด ส่วนเครื่องเคียงจะมีทาโก้ขนมเบื้องกับกุ้งแช่น้ำปลา ขนมปังหน้ากุ้ง ข้าวเกรียบกุ้ง และโฟมแกงแดงล็อบสเตอร์
จานนี้ไม่ว่าเจอกี่ครั้ง เห้ยมันอลังการมาก จานนี้อย่างแรกที่จะอยากกล่าวถึงทำไมครั้งที่สองผมต้องรอถึง 20 นาที กินซุปไซฟ่อนมาตั้งกี่ร้านไม่เคยรอนานขนาดนั้น ฮ่าาา อย่างที่สองที่อยากจะกล่าวคือตัวแกงแดงล็อบสเตอร์นั้นบริกรแนะนำวิธีกินต่างกัน ผมชอบแบบคราวแรกที่ให้เอาไปจิ้มหรือราดเครื่องเคียงมากกว่าครั้งที่สองที่บริกรแนะนำให้กินเปล่าๆ เลยเหมือนมันยังดูเบาๆ ขาดอะไรไป
ตัวซุปนี้พอเราบีบเต้าหู้สดลงไปเป็นเส้นๆ แอบคล้ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหมือนกันแฮะ แต่ทางร้านทำมาได้ดีเลยครับ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้มยำรสเปรี้ยวหวานอ่อนๆ มีเผ็ดนิดๆ รสไม่จัดไม่กลบกลิ่นของเต้าหู้ เป็นซุปรสอ่อนๆ ละมุนคล่องคอดี
ตัวขนมเบื้อง กุ้งแช่น้ำปลาที่นี่อร่อยดีเลยครับ รสเค็มอมหวานกำลังดี ปกติผมจะไม่ชอบความแหยะๆ ของเนื้อกุ้งดิบแต่กุ้งที่นี่เนื้อแน่นดี ตัวเท็กซ์เจอร์ของกุ้งนั้นตัดกับความกรอบของขนมเบื้องที่แอบหนาแข็งไปนิดๆ หากกินเปล่าๆ แต่ก็เข้ากับกุ้งที่เนื้อแน่นได้ดี ยิ่งจิ้มกับแกงก็อร่อยเพิ่มมิติรสชาติได้ดีเลยครับ ขนมปังกุ้งนี้ไส้กุ้งเยอะมากแทบจะไม่ได้สัมผัสขนมปังนึกว่าลูกชิ้นกุ้งเลยครับ เเต่ส่วนตัวว่าเค็มไปนิดไม่ว่าจจิ้มกับเเกงหรือไม่จิ้มก็ตาม
ตัวข้าวเกรียบกุ้งของที่นี่แอบคล้ายคล้ายฟองเต้าหู้ทอดครับ ทั้งหน้าตาและเท็กซ์เจอร์ แต่ต่างตรงมีกลิ่นหอมกุ้ง รสมันๆ เค็มนิด มีความเขียวจากผักด้านบนหน่อย อร่อยครับ ผมแนะนำให้ลองจิ้มกับแกงแดงเข้ากันดีทีเดียว
แกงแดงโฟมกุ้งล็อบสเตอร์ รสคล้ายแกงพะแนงมีกลิ่นรสเค็มนำไม่เผ็ด เป็นจานที่ทำได้ดีครับ แต่ผมสองจิตสองใจ ใจแรกอร่อยดีไม่ว่าจะกินเปล่าๆ หรือจิ้ม ใจที่สองผมว่าคอร์สนี้ก็สมบูรณ์อยู่แล้วโดยไม่มีแกงจานนี้
จานยำในวันนี้เชฟผสมผสานความเป็น Nordic กับThai ได้อย่างลงตัว โดยเป็นยำปลากระป๋อง ไม่ใช่! ยำปลาแมคเคอเรลจากนอร์เวย์กับมะเขือเทศครับ ความพิเศษจะเป็นน้ำยำที่มาปรุงมาตำกันสดๆ ที่โต๊ะ รับประทานกับมะเขือเทศนานารูปแบบทั้ง ซันดราย สด ดองเค็ม ดองเปรี้ยว ผักชีสด น้ำมันขึ้นฉ่าย ก่อนปิดท้ายด้วยขนมดอกจอก จานนี้ตัวที่ชอบมากคือมะเขือเทศครับ แต่ละแบบนี่มีรสชาติและเท็กซ์เจอร์ต่างกันสนุกสนานดี พอกินกับน้ำยำแล้วนี้ยิ่งอร่อย ไม่ว่าจะเป็นมะเขือเทศสดที่หวานกรอบ หรือดองเค็มที่ผิวจะไม่กรอบมากนักแต่รสละมุนขึ้น มะเขือเทศดองเปรี้ยวที่แสนสดชื่น เข้ากับกลิ่นเขียวของผักชีและน้ำยำรสอ่อนๆ เปรี้ยวอมหวานได้ดี ปลาแมคเคอเรลนั้นย่างมาได้ดีเท็กซ์เจอร์นุ่ม มันนิด ผิวกรอบไม่มาก ชูรสให้เด่นด้วยด้วยน้ำยำก่อนเพิ่มมิติความสดด้วยน้ำมันขึ้นฉ่าย เป็นจานที่ทำได้ดีเลยครับ ผมชอบ
ต้มข่าในแบบของ Sra Bua ถูกนำเสนอมาในรูปแบบของไข่ตุ๋นที่ทำจากไข่แดงและดอกกะหล่ำ ออนท็อปด้วย หอมแดงดอง ดอกกะหล่ำ น้ำต้มข่า น้ำมันผักชี เห็ด champignon เห็ด Winter truffle ไม่จากอิตาลีก็ฝรั่งเศส
ถ้าตัดประเด็นเล็กๆ ไปจานนี้น่าจะเป็นจานที่ผมชอบสุดในมื้อ ตัวกลิ่นทรัฟเฟิลและกลิ่นข่ากับผักชีดันเข้ากันได้อย่างลงตัวแบบงงๆ เหลือเชื่อ ด้วยตัวช่วยอย่างดอกกะหล่ำ เห็ด Champignon และกะทิ ตอนแรกผมนึกว่าพืชกลิ่นแรงอย่างผักชีจะกลบกลิ่นทรัฟเฟิลแต่นี่ไม่ใช่เลย
ตัวไข่ตุ๋นดอกกะหล่ำนั้นเนื้อละมุนนุ่มแต่ครีมมี่รสนัวๆ เข้ากับซุป และเครื่องอย่างแชมปิยองและกะหล่ำต่างก็เข้ากันกับครีมซุป หอมแดงให้รสเปรี้ยวตัดนิดๆ เยี่ยมมาก
จะติดตรงที่บริกรงงว่าสรุปทรัฟเฟิลมาจากไหนครับ และเรื่องอุณหภูมิของต้มข่า ที่ครั้งแรกที่มาแบบอุ่นๆ มันคล่องคอเข้ากับไข่ตุ๋นกว่าครั้งที่สองที่ค่อนข้างเย็น
ต่อมาเป็นกะเพราในแบบฉบับของ Sra Bua โดยเชฟจะนำ Foie gras และหัวใจไก่ หั่นเต๋าเป็นชิ้นขนาดพอดีคำไปคลุกกับซอส ก่อนออนท็อปด้วยโฟมกะเพรา รับประทานกับไข่ดาวนกกะทา ไข่แดงซูวี และข้าวไรซ์เบอรี่พอง จานนี้คิดในใจตอนยกมา รสต้องจัดมากๆ แน่เลยปรากฏว่าไม่เป็นอย่างที่คิดแฮะ มันออกแนวผัดน้ำมันหอยที่รสอ่อนๆ แล้วมีกลิ่นเขียวๆ ของกะเพราจางๆ ตัวโฟรกราไม่เลี่ยนมาก กลิ่นกะเพราอ่อนไม่แรงนัก แต่ตัวที่เด่นเลยคือกลิ่นและรสนัวๆ มันจากไข่แดงดิบ ก่อนเพิ่มเท็กซ์เจอร์ด้วยข้าวพอง และความกรุบด้วยหัวใจไก่ เป็นจานที่โอเคครับ สนุกที่ได้ลอง
มาถึงจานหลักกันบ้าง
จานหลักปกติจะเป็น ข้าวอบมันเนื้อผงพะโล้โดยที่ร้านจะใช้ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ รับประทานกับเนื้อออสเตรเลีย ที่นำไปซูวี 48 ชม. ราดด้วยซอสเปรี้ยวหวานและส้มจี๊ดสเปน เครื่องเคียงเป็นบ็อกชอยกับกระเทียมกรอบ ตัวซอสนั้นผมว่ารสดีเลยทีเดียวหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ โปร่งๆ มีกลิ่นส้มนิดๆ ทำได้ดีทีเดียวครับ แต่ตัวที่ยกระดับซอสให้ยอดเยี่ยมเป็นคนละเรื่องคือส้มจิ๊ดสเปนที่ให้กลิ่นเขียวขมนิดๆ ชวนอยากอาหารและทำให้รสของซอสไม่เลี่ยนไปนัก แต่เนื้อนั้นผมว่าสุกไปนิดแอบเคี้ยวยากครับ เนื้อชิ้นนึงเจอเอ็นด้วยยิ่งเคี้ยวยากไปกันใหญ่ ไม่แน่ใจว่าตั้งใจทำเพื่อให้ได้เท็กซ์เจอร์ของเนื้อหลายๆ แบบหรือไม่
ในส่วนของข้าวนั้นผมว่ารสดีไม่จัดจนกลบรสของจานหลัก หอมพะโล้แต่ผมว่าตัวข้าวนุ่มไปนิดจนเท็กซ์เจอร์ออกดูขัดๆ กับเนื้อ และเสิร์ฟมาแบบไม่ค่อยร้อน ผมว่าจานนี้ข้าวถ้าเสิร์ฟมาแบบข้าวร้อนๆ ควันพุ่งน่าจะชูกลิ่นพะโล้ได้ดีกว่านี้
จานหลักอีกแบบ สำหรับคนไม่ทานเนื้อนั้นผมกลับชอบกว่าครับ โดยเชฟจะเปลี่ยนจากเนื้อเป็นปลาช่อนทะเล ซอสบาร์บีคิวเปรี้ยวหวาน รับประทานกับข้าวผัดผักออร์แกนิคที่ใช้ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ เป็นจานที่อิ่มแบบรสไลท์ๆ เบาๆ แต่หนักแน่นครับ
ตัวข้าวผัดดูไลท์ๆ รสไม่จัดแต่ครบรส ผัดมาได้ร่วน ร้อนและแห้งดี หอมกลิ่นข้าว ผักและไข่ทำสิ่งเรียบง่ายออกมาได้ดีเลยครับ ซึ่งความไลท์และกลิ่นผักนี้เข้ากับกลิ่นส้มของเปรี้ยวหวานได้อย่างดีทีเดียวเข้ากับปลาและซอสเปรี้ยวหวานที่โปร่งสดชื่นได้ดี โดยส่วนตัวผมชอบกว่าจานเนื้อครับ
ขนมหวานจานแรกของเราเป็นโดมไวท์ช็อกโกแลต สอดไส้ด้วย เค้กกุหลาบ โฟมโยเกิร์ตลิ้นจี่ ตบแต่งด้วย เมอแรงค์กุหลาบ กลีบดอกกุหลาบและลิ้นจี่ flambe ด้วยเหล้าแม่โขง จานนี้รสไลท์ครับ ไม่หวานมากครีมมี่นิดๆ อมเปรี้ยวหน่อยหอมกลิ่นกุหลาบจางๆ มีหนักนิดนึงตรงเนื้อลิ้นจี่ที่มีกลิ่นฉุนเหล้าอ่อนๆ ถือว่าทำมาได้โอเคเลยครับ ติดนิดนึงตรงที่รสกลีบกุหลาบนั้นค่อนข้างขมทีเดียวผมว่าควรกินกับอย่างอื่นที่รสหนักๆ ส่วนตัวผมไม่ชอบจานนี้แต่ผู้ร่วมโต๊ะผมชอบทีเดียว
ขนมหวานจานสุดท้ายของเราเป็น ข้าวเหนียวมูน กับข้าวโพดไร่สุวรรณย่าง ป็อปคอร์นคาราเมล ซอสกะทิ ไอศกรีมนมข้าวโพด ก่อนออนท็อปด้วยสายไหม
จานนี้ส่วนที่ผมชอบคือข้าวโพดย่างที่หอมกลิ่นควันมากๆ และรสของไอศกรีมนมข้าวโพดที่หวานมันกำลังดี ตัวที่ไม่ชอบคือซอสกะทิที่ปริมาณของซอสมากไปจนละลายสายไหมหมด ทำลายเท็กซ์เจอร์หนุบหนับเล็กๆ ที่สายไหมสามารถให้ได้แบบครั้งก่อนครับ และตัวป็อปคอร์นที่บางชิ้นมาบางกำลังดีไม่หวานมาก บางชิ้นเคลือบมาหนาหวานจี๊ดจนจะกลบรสข้าวโพดหมด ผมคิดว่าควรทำได้ดีกว่านี้ครับ
Petit four ของเราเป็นช็อกโกแลตที่ทำเลียนแบบของใกล้ตัวอย่างหิน พริก หรืออบเชย อย่าหยิบผิดละครับ
🍾Service : 7/10
🍽Food: 7.5/10
🤩WOW factor: 7.75/10
💰Value for money: 8/10
Total: 7.75/10
🗺เเผนที่ :https://goo.gl/maps/YuMsdrJS7e7QLZgv8
⏰เวลาเปิดปิด: Fri-Mon 12–3PM, 5–9PM
💵ค่าเสียหาย: ~ 3600 Baht / person
⌨️เว็บไซต์ร้าน: http://srabuabykiinkiin.com/en
Comentarios