top of page

อยากทำแต่ไม่อยากกิน

Updated: Aug 31, 2021



อยากกินแต่ไม่อยากทำ เห้ย #อยากทำแต่ไม่อยากกิน รีวิวในวันนี้ขอพาเพื่อนๆ ไปเยี่ยมร้านอาหารเชฟเทเบิ้ลสุดฮอตย่านเจริญราษฎร์ อย่าง @yaktummaiyakgin


อย่างแรกสำหรับผู้ที่คาดหวังว่ามันคือ Fine Dining จ้า ร้านนี้อาจจะไม่ใช่นะครับ อาจจะด้วยสถานที่ตั้งที่เป็นชั้นสองของโรงพิมพ์ของทางบ้านเชฟ ทางเข้าแอบดูน่ากลัวนิดๆ แต่เมื่อเข้าสู่โซน Dining เหมือนเราก้าวเข้าสู่อีกโลกเลยครับ ภายในห้องเล็กๆ ที่ดูแสนสบายตาประดับประดาผนังด้วยภาพเชฟชื่อดัง มีโซนครัวและโต๊ะรับประทานอาหารเล็กๆ สองโต๊ะ ได้ความรู้สึกเป็น Chef table ที่ดูเรียบง่ายบ้านๆ แต่อาหารนั้นระดับพระกาฬเลยทีเดียว


โดยรวมมื้อนี้เป็นมื้ออาหารที่ไม่ถูกแต่ไม่แพง เหมาะสมกับตัวเลข 2,688+ มีการใช้วัตถุดิบที่ดีคุ้มราคาและปรุงอย่างใส่ใจครับ หกคอร์สที่นับเป็นจานนั้นอาจจะดูน้อย แต่เป็นมื้อที่อิ่มมากๆเลย


อาหารที่นี่เป็นสไตล์คลาสสิคเฟรนช์ที่พยายามปรับเข้ากับลิ้นคนไทย แต่ยังคงลวดลายความเป็นอาหารคลาสสิค


สิ่งนึงที่ผมชอบเมนูของเชฟบิ๊กมากๆ คือ แม้แต่คนทานอาหารยากหรือกลัวอาหารประหลาดแบบที่มักพบเจอในร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่ง ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารของเชฟได้อย่างมีความสุขและไม่ต้องกลัว


อาหารของเชฟเรียบง่ายแต่ทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะตัวเนื้อสัตว์ทุกประเภทที่ทำ ออกมาแบบที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ ทุกชนิดจนน่าตกใจเลยละ ไม่ว่าจะกุ้ง หอยเชลล์ เนื้อ หรือจะเป็นปลา


ส่วนจุดที่ผมไม่ชอบในมื้อนี้คือ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และคอมบิเนชั่นบางอย่างที่ผมว่ายังขาดๆ เกินๆ ยกตัวอย่างเช่น เห็ดมอเรล ในจานผมทั้งสามชิ้นเท็กซ์เจอร์ออกมาสามแบบเลย หรือตัวซุปที่ผมว่ากลิ่นเครื่องปรุง ของกุ้งนั้นแย่งความเด่นของซุปไป รวมทั้งรสชาติความเข้มข้นแต่ละจานที่ดูหนักเบาและร้อยเรียงอย่างไม่ค่อยลื่นไหลเท่าไหร่นัก


บริการหากมองในมุมร้านไฟน์ไดน์อาจจะยังไม่ถึงขั้นและยังคงมีความงงๆ อยู่บ้าง แต่ถ้ามองแบบร้านอาหารทั่วไปก็อยู่ในเกณฑ์โอเคยอมรับได้ครับ ยิ่งได้ฟังจากปากเชฟว่าบริกรที่ดูแลผมพึ่งเริ่มงานวันแรกก็ยิ่งเข้าใจได้ครับ


แต่ส่วนที่ผมเห็นว่าควรใส่ใจมากกว่านี้ คือการล้างจานและแก้ว แก้วไวน์ในวันนั้นมีคราบน้ำเกือบทุกใบ ใบของผมนั้นมีเศษอาหารบริเวณขาแก้วติดอยู่ด้วย


ข้อเสนอแนะเล็กน้อยของเพจตัวเล็กๆ เห็นว่าการอธิบายจานอาหารของที่ร้าน มีการใช้ศัพท์เฉพาะทางค่อนข้างเยอะ แต่ผู้ที่มารับประทานอาหารส่วนใหญ่นั้นน่าจะไม่ค่อยทราบศัพท์พวกนี้ ควรอธิบายด้วยศัพท์ที่เข้าใจง่าย ผมว่าน่าจะเหมาะกับอาหารที่เชฟพยายามนำเสนอครับ


เชฟบิ๊กเป็นเชฟที่ผมฟังประวัติแล้วมีความฮึกเหิม เพราะแพสชั่น และความพยายามในการทำอาหารของเชฟสุดยอดมากๆ ครับ ความอยาก ความกระหายในการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเชฟนั้นน่าชื่นชมเป็นอย่างมาก ในมื้อนี้จะมีอะไรบ้างไปชมจากรูปได้เลยครับ


หากใครสนใจไปฟังเรื่องราวของเชฟได้ตามคลิปที่ ITAN ครับ(https://www.youtube.com/watch?v=U5EY1t8meWc)





ออเดิร์ฟของเราเป็น Croustillant หรือ Crispy สอดไส้ก้อยปูฝรั่งเศส รับประทานกับ ซอเบทมะนาว ไข่ปลาแซลม่อน และมะเขือเทศ จานนี้เป็นจานที่ทุกคนชื่นชอบ และครบทั้งรสกับเท็กซ์เจอร์ครับ


เชฟบอกว่าปูพึ่งส่งสดๆ ร้อนๆ มาไม่เกินสิบห้านาที เมื่อเข้าปากเราจะได้ความหอมของกลิ่นเลม่อนจางๆ ชวนให้สดชื่น รสเปรี้ยวอ่อนๆ ของซิตรัส นั้นเข้ากับเนื้อปูได้อย่างลงตัวพอดี กลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ นั้นชวนให้สดชื่นมาก ทำได้ดีมากครับ


หากใครอยากได้รสที่เข้มข้นขึ้นลองกินกับซอเบทหวานอมเปรี้ยว หรือจะเป็นอิคุระที่หมักมาอย่างพอดีไม่เค็มจนกลบรสหวานของเนื้อปูก็ดีทีเดียวครับ เป็นจานที่ครบทั้งรสและเท็กซ์เจอร์เริ่มต้นมื้อได้อย่างงดงามทีเดียว


แต่ส่วนตัวผมว่าแป้งแน่นและแข็งไปนิดและมีอิคุระบางชิ้นที่สุกมาแล้วไม่แน่ใจว่าเกิดจากความตั้งใจหรือไม่





จานต่อมาเป็นจานที่เชฟเพิ่งเสิร์ฟวันแรกครับ Crozets de Savoie กราแตงเสิร์ฟ พร้อมกับซอส velouté เห็ดป่า ,เห็ด Morrel ก่อนออนท็อปด้วย หอยเชลล์


โดยส่วนตัวเป็นจานที่ผมชอบที่สุดในมื้อนี้ครับ เรียบง่ายแต่สุดยอด เชฟเลือกเสิร์ฟพาสต้าชื่อดังของฝรั่งเศสที่หาทานยากในเมืองไทยอย่าง Crozets ที่มีต้นกำเนิดในเมือง Tarentaise แคว้น Savoie ราวศตวรรษที่17


ตัวโครแซตนั้นถูกเสิร์ฟมาในสไตล์คลาสสิคใส่ชีสและแฮม รสเค็มอ่อนๆของแฮมช่วยขับรสหวานของหอยเชลล์คุณภาพเยี่ยมที่ Seared มาอย่าง perfect ในแบบที่ผมชอบ ผิวที่กรอบมีครัชช์และกลิ่นไหม้นิดๆ แต่เนื้อไม่เหนียวและคงความหวานชุ่มฉ่ำอยู่เนื้อใน


เท็กซ์เจอร์ของ Crozet นั้นก็ถูกเสิร์ฟมาในความสุกระดับเหมาะสม ไม่เละเกินไปและไม่แข็งเกินไป ทำให้เข้ากับเท็กซ์เจอร์ของหอยเชลล์ที่นุ่มได้อย่างลงตัว


เชฟเบรคความเข้มข้นด้วยตัว velouté ที่มีกลิ่นเอิร์ธตี้นิดๆเนื้อเนียน มันจะยอดเยี่ยมมากๆเลยถ้าไม่ติดตรงเห็ด Morrel ที่ผมว่าสูญเสียกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไป โดยทั้งสามชิ้นในจานของผมมีเท็กซ์เจอร์ไม่เหมือนกันเลยครับ





จานซุปในวันนี้เป็นซุป Puffed Pastry Bisque กุ้งลายเสือและข้าวโพด ก่อนที่จะออนท็อปด้วย กุ้งลายเสือตัวโต


อย่างที่ทุกท่านน่าจะทราบจานนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iconic Dish ระดับตำนานอย่าง V.G.E ของเชฟ Paul Bocuse เพื่องานเลี้ยงของ Valéry Giscard D’Estaing (V.G.E) ประธานาธิบดีฝรั่งเศสในสมัยนั้น โดยได้รับแรงบรรดาลใจมาจากมื้ออาหารของคุณยายของคนขาย Truffle และอาหารของเชฟมิชลินสตาร์สามดาวอีกท่านอย่าง Paul Haeberlin ก่อนผสมผสานออกซุปโฟรกราและทรัฟเฟิลในตำนานที่กล่าวขานไปทั่วโลก (ในงานนั้นยังมีเชฟระดับโคตรตำนานอีกหลายท่านอาทิเช่น พี่น้อง Troigros)


นอกเรื่องมานาน ขอวกกลับเข้าเรื่องก่อนครับ โดยเชฟแนะนำให้เราจุ่มเนื้อกุ้งในซุปประมาณสิบวินาทีก่อนนำมารับประทาน ตัวแป้งนี้จะกินเปล่าๆ หรือจะจุ่มซุปกินตามความชอบก็ไม่แปลกอะไรครับ


โดยผมเริ่มต้นด้วยการชิมกุ้งที่ถูกจุ่มลงไปในซุปอุ่นๆ ตัวกุ้งทำมาในความสุกระดับ Perfect อีกแล้ว เนื้อหวานเด้ง ปรุงรสเค็มอ่อนๆ มีกลิ่นควันนิดๆ แต่เครื่องปรุงตัวนึงในเนื้อกุ้งนั้นผมว่ามีกลิ่นเฉพาะตัวไม่ค่อยเข้ากับซุปซักเท่าใด ส่วนตัวแป้งดีมากๆครับครับเท็กซ์เจอร์สุดยอด บางกรอบเเละเบา ถ้าจุ่มซุปจะมีความหนึบนิดๆไม่เละ หอมกลิ่นเนยชั้นยอด แต่ส่วนตัวผมว่าเค็มไปเวลาจุ่มซุปจนกลบรสหวานของข้าวโพดในซุปไป และทำให้จานนี้ออกจะดูไม่ค่อยบาลานซ์





จานปลาในวันนี้เป็นปลากุสลาด ที่เชฟเอาไปปรุงด้วยวิธีการmeunière เสิร์ฟมาพร้อมกับรีซอตโต้ Pomodoroและอิตาเลี่ยนเบซิล ออนท็อปด้วยบิสกิตชีสparmigiano reggiano


จานนี้ปลาก็ปรุงสุกในระดับPerfect อีกแล้ว มีประกายสีชมพูอ่อนๆตรงกลางแบบผิวมุก ตัวปลากุดสลาดเนื้อแน่นแต่ไม่สุกจนแข็ง ปรุงรสมาอ่อนๆ ทำให้เข้ากับรีซอตโต้ที่มีรสโปร่งแสนสดชื่นที่ได้ความอร่อยจากมะเขือเทศกับหอมเย็นของเบซิลอย่างเต็มที่


เป็นอีกจานที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ในแง่เทคนิคและองค์ประกอบครับ แต่ผู้ร่วมโต๊ะบางท่านว่ารสจืดไปนิด อาจจะเป็นเพราะรสซุปจานก่อนหน้านี้เข้มข้นมากๆ





มาถึงจานหลักของเราอย่าง Beef Wellington ที่เชฟนำเนื้อวากิวส่วนสันใน A3 มาห่อด้วย spinach mushroom duxelles และแป้งก่อนไปอบและพักไว้สิบนาทีก่อนนำมาเสิร์ฟพร้อมกับ pomme puree และ charcoal beef jus ครับ


จานนี้เชฟเลือกใช้ผักโขมและเห็ด แทนแฮม Prosciutto และเห็ดแบบสูตร Gordon Ramsay


เป็นจานที่ทำออกมาได้ดีครับ แต่รสอาจจะไม่ถูกปากทุกคน ตัวแป้งกรอบบางไม่แฉะ และหอมกลิ่นเนยจางๆ และมีรสเค็มอ่อนๆ เนื้อนั้นสุกกำลังดี คงความชุ่มช่ำและมีความนุ่มและอร่อยในแบบที่เนื้อสันควรจะเป็น

ตัวที่ผมชอบเป็นพิเศษเห็นจะเป็นซอสที่มีความเข้มข้นในแบบของ Jus ที่ดีแต่มีความถ่านนิดๆ นี่ช่วยลดความหนักแต่ยังคงความเข้มข้นอย่างพอดี ทำให้ซอส Jusตัวนี้พิเศษมากๆ แต่ตัวกลิ่นเอิร์ธตี้จาก Sauce นั้นอาจจะเปรียบเหมือนดาบสองคมที่พอรวมกับ duxlles แล้วอาจจะมากไปและลดจุดเด่นของเนื้อลงได้ครับ


เครื่องเคียงอย่าง Pomme puree หรือมันบดนั้นทำมาได้ยอดเยี่ยมสมกับที่เป็นสูตรของร้านมิชลินสองดาวจากสวิตเซอร์แลนด์ เนื้อเนียนเบาหอมกลิ่นมันมีความครีมมี่บางๆ อร่อยจนเพื่อนผมอยากขอเชฟเติมเลยล่ะครับ





ปิดท้ายกับขนมหวาน สตรอว์เบอร์รีไอศครีมกับเชอร์รี่และทาร์ตคัสตาร์ต คอมบิเนชั่นของเชอร์รี่สดกับสตรอว์เบอร์รีเข้ากันดีทีเดียว รสหวานอมเปรี้ยวของไอศครีมเข้ากับรสเปรี้ยวหวานของเชอร์รี่ได้อย่างกลมกลืน


เชฟบิ๊กนี้เป็นเชฟที่ทำไอศครีมได้ดีอย่างน่าแปลกใจสำหรับเชฟที่ไม่ใช่ Pastry chef เฉพาะทางครับ คัสตาร์ตทำมาได้โอเคตามมาตรฐานร้านไม่หวานจนเกินไป ที่ไม่ชอบเห็นจะเป็นตัวแป้งทาร์ตผมว่าแข็งไปนิดเดียว



🍾 Service : 7/10

🍽 Food: 7.75/10

🤩 WOW factor: 7.25/10

💰Value for money: 7.25/10


Total: 7.5/10


🗺แผนที่ : https://goo.gl/maps/XAbP3h98XRYEDzx1A

⏰เวลาเปิดปิด: 2รอบ 12.00และ18.00

💵ค่าเสียหาย: ~2688+ ต่อคนไม่รวมเครื่องดื่ม

⌨️เว็บไซต์ร้าน: https://www.facebook.com/yaktummaiyakgin



ชอบช่วยกดไลค์ ใช่ช่วยกดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้เรา #บอสพาชิม #eatliketheboss


Website: www.eatlikethebossth.com

InstaGram: @eatliketheboss (https://goo.gl/DqzWfN )

FaceBook: บอสพาชิม (https://goo.gl/gHPnnG)

Blogdit: https://www.blockdit.com/eatliketheboss

Email : eatlikethebossth@gmail.com


留言


bottom of page