top of page

Haoma เขตเเดนใหม่ของอาหารอินเดีย

Updated: Oct 28, 2019



Haoma (Bangkok, Thailand🇹🇭)🍽


ไฟน์ไดน์นิ่งกับความยั่งยืนทางธรรมชาติอาจจะดูเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน เเต่เชื่อหรือไม่ ร้าน Haomaพยายามที่จะทำให้เส้นทั้งสองมาบรรจบ




ความตั้งใจเเละใส่ใจในทุกรายละเอียดของ Deepanker Khosla และทีมงานเเห่งร้านฮาโอมาในการรังสรรค์เเละสร้างร้านอาหารที่มีเอกลักษณ์และมากสีสันเเห่งนี้น่าสนใจเป็นอย่างมากครับ




คอมบินเนชั่นระหว่างรักสิ่งเเวดล้อม อาหารอินเดีย โมเลคูล่า กับวัตถุดิบจากประเทศไทย อาจจะดูฟังบ้าบอเอามากๆ เเต่เมื่อผมเปิดใจเเละได้ลองมาเยี่ยมเยือน Haoma มันก็เข้าทีเหมือนกัน




Sustainable foods อาจจะดูไม่คุ้นหูสำหรับหลายๆคน เเต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ปัญหาเรื่องอาหารกับสิ่งเเวดล้อมนั้นกำลังชัดเจนเเละเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น การจับสัตว์ทะเลเชิงธุรกิจที่มากเกินจนทำลายระบบนิเวศอย่างถาวร หรือขยะจากอาหารที่มีมากถึง1ใน3ของผลผลิตทั้งโลก อย่าพึ่งคิดว่านี้คือบทความสิ่งเเวดล้อมอะไรสักอย่างครับ มันคือรีวิวร้านอาหารเเน่ๆ




โดยทางร้านHaomaจะเลือกคัดสรรค์เฉพาะวัตถุดิบที่มีเเหล่งที่มาจากผู้ผลิตออเกนิคเเละผู้ผลิตที่เลือกวิธีการผลิตเเบบยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาในวงการไฟน์ไดนน์นิ่งโลก




เเต่เท่านั้นยังไม่พบ Haoma นั้นพยายามจะยกขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการใช้วัตถุดิบจากฟาร์มที่ปลูกและเลี้ยงเองในร้านเเละบ้านของเชฟเอง ที่ทางร้านเรียกว่า Urban farming โดยตัวโอนเนอร์เชฟDeepanker Khosla เเละ เชฟ เดอครูซีน Tarun Bhatia นั้นเริ่มต้นลองผิดลองถูกจากศูนย์ ทีมงานของต้องมาหัดปลูกผักเองครั้งเเรกในชีวิต ทั้งอคาโพนิค ไฮโดรโพนิค การเลี้ยงปลา เรียกว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ทีมงานของร้านHaomaต้องผ่านอะไรมาหลายอย่างเลย




Haoma นั้นอาจจะยังไม่ถึงจุดที่เรียกว่า Zero waste restaurant เเต่ทางร้านนั้นพยายามก้าวไปให้ถึงจุดนั้น ด้วยความพยายามลองผิดลองถูก ล้มเเล้วลุกขึ้นใหม่อย่างไม่ยอมเเพ้ในปีที่เเล้วเชฟเลี้ยงปลาได้สำเร็จ ปีนี้ได้เริ่มทดลองเลี้ยงclayfishในบ่อที่ร้าน หรือทดลองปลูกมะเขือเทศที่ล้มเหลวไปในปีที่เเล้วเเต่เชฟก็ได้เริ่มทดลองใหม่ ซึ่งตรงนี้ผมรู้สึกสนุก ชื่นชมเเละขอเป็นกำลังใจให้กับเชฟครับ สิ่งที่Haoma ทำไม่ใช่เเค่เลี้ยงปลาปลูกผัก เเต่มันคือการสร้างระบบนิเวศการเกษตรผสมผสาน ระบบน้ำที่ใช้เลี้ยงผักของทางร้านนั้นมีสารอาหารส่วนหนึ่งมาจากน้ำเลี้ยงปลาของทางร้าน อาหารที่เลี้ยงปลานั้นมาจากเศษอาหารของเรา ในสิ่งที่ร้านไม่สามารถเลี้ยงหรือปลุูกเองได้ เชฟDKเเละทีมงานก็ได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรทั่วไทย เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ยั่งยืนเเละรักโลก




อาหารของHaoma นั้นจะเรียกตัวเองneo-indian โดยเชฟจะนำสูตรอาหารยุคโคโลนี่ผสมผสานกับเทคนิคการปรุงสมัยใหม่ ทำให้อาหารอินเดียเรียบๆมีความชิคเเละน่าสนใจมากขึ้น อาหารของทางร้านอาจจะไม่ใช่ที่สุดในเรื่องเทคนิคการปรุงหรือความเนี้ยบในเเต่ละจาน เเต่ก็มีรสชาติที่บาลานซ์ลงตัวดี เทคนิคในจานต่างๆอาจจะดูจำเจบ้างเเต่ผมกลับไม่รู้สึกน่าเบื่อเเละตื่นเต้นไปกับรสชาติเเละเรื่องราวในอาหารเเต่ละจาน ซึ่งร้อยเรียงเรื่องราวและมีเอกลักษณ์ที่น่าติดตาม ตื่นเต้นเหมือนการเดินทางเที่ยวอินเดียผ่านมื้ออาหารยังไงอย่างงั้น อีกจุดเด่นนึงที่ผมชื่นชอบในอาหารของร้านHaomaคือการทำอาหารอินเดียที่ดูน่ากลัวสำหรับคนทั่วไปให้เข้าถึงได้และมีรสชาติทานง่ายมากขึ้น




ไวน์เเพรริ่งอาจจะดูเเปลกเมื่อเที่ยวกับร้านอาหารไฟน์ไดนน์นิ่งตะวันตกอื่น เเต่โดยส่วนตัวผมพบว่ามันมีความน่าสนใจและเข้ากันดีทีเดียว การเสริฟ์โฟติไฟน์ไวน์กลางมื้ออาหาร การเลือกเสริฟ์ออเร้นจ์ไวน์ ที่ยังเป็นเเนวคิดที่ค่อนข้างจะใหม่ในวงการอาหารบ้านเรา




รีวิวร้านHaoma อาจเป็นหนึ่งในรีวิวที่เขียนยากที่สุดที่ผมเคยเขียนมาเลยครับ เพราะการจะสื่อให้เข้าถึงจิตวิญญาณอาหารของHaoma เราต้องเข้าใจคอนเซ็ปท์เเละสตอรี่เบื้องหลังในอาหารเเต่ละจานในระดับนึงก่อน




ในวันนี้แม้ผมจะได้รับเชิญจากทางร้านไปเทสติ้งเมนูจากทางร้าน เเต่ทุกอย่างนั้นเขียนตามความรู้สึกจริง รวมถึงการให้คะเเนนที่ใช้เกณฑ์ตามปกติด้วยครับ ผมได้ลองคอร์ส13จาน บวกกับ เครื่องดื่มเเพร์ริ่ง(หกเเก้ว) จะเป็นยังไงบ้างไปชมกันครับ



ก่อนที่มื้ออาหารจะเริ่มต้นขึ้นทางทีมงานของร้านHaoma ได้พาเราเยี่ยมชมสวนของร้าน


Dillหรือผักชีลาวสายพันธ์ุเยอรมันซึ่งปกติเป็นพืชเมืองหนาว เเต่ร้านHaomaก็ได้ทดลองจนปลูกได้สำเร็จ



โฉมหน้าเชฟTarun Bhatia ผู้ควบคุมครัวในวันนี้ครับ ตัวเชฟเคยได้รับรางวัลSouth East Asia S.Pellegrino Young Chef award ส่วนตัวเชฟDKเจ้าของร้านในวันนั้นบินไปจัดอีเว้นท์ป็อปอัพที่เมืองนอก ผมจึงพลาดโอกาสเจอเชฟไปอย่างน่าเสียดาย




เชฟบอกกับทีมงานบอสพาชิมว่า ลังโฟมนั้นเเม้ทางร้านพยายามจะบอกกับซัพพลายเออร์ทุกเจ้าว่าอย่าใช้เลย เเต่ถึงอย่างนั้นก็มีหลุดมาบ้างในบางครั้ง เชฟเลยจัดการรียูสนำมาทำเป็นกระถางต้นไม้เสียเลยจะได้ไม่เสียของ



ตะไคร้ที่เหลือจากการปรุงอาหารเชฟได้นำหัวมาปลูกใหม่ เรียกว่าพยายามไม่ทิ้งทุกอย่างจริงๆ



เชฟโชว์บ่อปลาให้เรา โดยอาหารปลาของที่ร้านนั้นจะทำมาจากเศษวัตถุดิบที่เหลือๆ ซึ่งเชฟบอกว่าด้วยอาหารปลาสูตรพิเศษของทางร้าน ปลาของเรานั้นเลี้ยงเองเลยทำให้เนื้อนุ่มมากๆ



บ่อหน้าร้านที่เชฟDKทดลองเลี้ยงกุ้งเคลย์ฟิชอยู่



วกกลับมายังโต๊ะอาหาร เราเริ่มต้นมื้อกันด้วยเครื่องดื่มเเก้วเเรกกับ ยุสุชูเเละโทนิค โดยทางร้านจะใช้โทนิคเเทนโซดาที่คุ้นเคย โดยเเก้วนี้จะมีรสจะหวานอมเปรี้ยว เเละกลิ่นอายรสเครื่องเทศจางๆ ซึ่งจะเข้ากับอาหารของร้านที่มีส่วนประกอบของเครื่องเทศได้ดีกว่า



จานเเรกของเราเป็น Galautti ซึ่งจานนี้เชฟจะมีส่วนประกอบเป็น ขนมปัง เห็ดถอบดอกไม้ มะเขือ เจ้าเห็ดถอบนี่มาจากเชียงใหม่ที่เชฟบอกว่ามันคือไทยทรัฟเฟิล โดยจะเสริฟ์มาบนจานที่ทำจากไม้ชนิดที่เห็ดตัวนี้นั้นงอกขึ้นมา


คำนี้เมื่อเข้าปากเราจะได้กลิ่นเบอกาม็อตเเละรสเผ็ดร้อนจางๆ ก่อนจะตามมาด้วยรสเปรี้ยวหวานอ่อนๆจากมะเขือเทศ ก่อนสอดแทรกด้วยกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นทรัฟเฟิลเข้มข้นเเต่ออกเอิรธตี้กว่า ก่อนจะปิดท้ายด้วยรสสดชื่นเปรี้ยวนิดๆของดอกไม้ จานนี้ผมประทับใจมากๆในการเลือกใช้เห็ดถอบที่ทำออกมาได้ดีขนาดนี้



จานต่อมาคือ GolgappaหรือPanipuri ของว่างสตรีทฟู้ดขึ้นชื่อของอินเดียครับ เห็นหน้าตาเเบบนี้ไม่ใช่อินเดียทาโกยากิเเต่อย่างใด โดยที่คำนี้ด้านนอกจะเป็นเเป้งไรน์โอลเกรนกรอบ ส่วนไส้ในจะเป็นไส้ครีมจาก ถั่วลูกไก่,โยเกริต์ทำเอง,มันฟรั่งบด,มะขาม


โกกัปป้าของHaoma นั้นจะมีเเป้งที่กรอบหอมกลิ่นข้าว ไส้ในที่เย็นนิดๆมีรสหวานมันอมเปรี้ยวก่อนตบท้ายด้วยกลิ่นเม็ดผักชีอย่างกลมกล่อม เเต่จานนี้ยังไม่จบเเค่นั้นโดยบริกรเเนะนำให้เรากินก่อนคำนึง ตามด้วยน้ำมะม่วงเเละเครื่องเทศที่ใช้มะม่วงที่ปลูกที่บ้านเชฟ แล้วค่อยกลับมารับประทานอีกคำ ซึ่งส่วนตัวผมว่าน้ำมันมีรสเปรี้ยวๆเค็มๆปะเเหล่มไปนิด เเต่ทว่าเมื่อกลับมาลองGolgappaอีกรอบ มันกลับช่วยเพิ่มรสหวานให้กับไส้Golgappaได้อย่างน่าประหลาดใจ



เครื่องดื่มเเพร์ริ่งเเก้วต่อมา คือไวน์โฟร์ติไฟร์จากอิตาลี ที่ซอมเมอริเย่ของเราเรียกว่า Hidden gem เพราะคนส่วนใหญ่มักสนใจไวน์ชนิดนี้จากสเปนหรือโปรตุเกส เเถมมีความรู้สึกว่า ไวน์ในกลุ่มนี้ต้องมีความหวานเเละใช้เป็น dessert wine เท่านั้นคนไม่ค่อยสนใจ ไวน์ตัวนี้จะมีรสค่อนข้างเปรี้ยวฝาดคล้าย Fino หรือ Sherry wine ของสเปน มีรสเอริธ์ตี้ และมีความดราย ไปได้ดีกับซีฟู้ดครับ




จานนี้เป็นหนึ่งในจานที่ผมชื่นชอบที่สุดในมื้อนี้ มันคือบุยยาเบส ที่เชฟดัดเเปลงจากสูตรพื้นถิ่นของเมืองPuducherry บริเวณภาคใต้อินเดียโดยเมืองนี้นั้นได้รับอิทธิพล​ของฝรั่งเศสสมัยยังเป็นอาณานิคมซึ่งยังคงหลงเหลือให้เห็นถึงปัจจุบัน เเม้จานนี้จะเป็นอาหารอินเดียฟิวชั่นฟรั่งเศส เเต่มันทำจากวัตถุดิบ​จากไทยทุกอย่าง


จานนี้ส่วนตัวผมคิดว่าเหมือนเเกงเเดงผสมบุยยาเบส มีรสคล้ายบุยยาเบสเเต่มีความเขียวสดชื่นของสมุนไพรและรสเผ็ดร้อนที่ปลายลิ้น รสเค็ม และเผ็ดร้อนๆของเเกงนั้นตัดกับรสหวานของหอยเชลล์ที่searให้สุกนิดๆได้อย่างกลมกล่อม ที่ประทับใจที่สุดในจานคือเนื้อหอยเชลล์ที่หวานกรอบจนไม่อย่างเชื่อว่านี้คือหอยเชลล์จากภูเก็ต จานนี้มีรสที่ซับซ้อนเเต่ทุกส่วนผสมสมดุลลงตัว ยอดเยี่ยมมากๆครับ





จานต่อมาคือ Not just a potato โดยจานนี้เชฟได้รับเเรงบันดาลใจมาจากอาหารสวีดิชอย่างมันฟรั่งhasselbackก่อนนำมาผสมผสานให้เป็นอาหารอินเดียในฉบับ Haoma โดยเชฟจะทำ Hasselback potato cake ก่อนท็อปด้วย ถั่วเลนทิลสมุนไพร โฟมรสมันฟรั่งผสมมิโซะ และมันฟรั่งทอดด้านบนสุด จานนี้กรอบกรุบที่ผิว เนื้อมีความเนียนฟูหอมมันฟรั่งเเละเนยข้างใน ตัวซอสนั้นเผ็ดๆเครื่องเทศ เค็มนัวๆอมหวานนิด ใช้ได้เลยทีเดียว



แก้วแพร์ริ่งถัดไปเป็นออเร้นจ์ไวน์ครับ เเม้เรียกสีส้มเเต่ความจริงไวน์เเก้วนี้ทำจากองุ่นนะครับ เเก้วนี้มีรสค่อนไปทางหวานเเต่ยังไม่ถึงสวีทไวน์ ทำให้ตัดรสเผ็ดของเเกงที่เป็นจานถัดไปได้ดี มีกลิ่นสมุนไพร เเละเอิรธ์ตี้นิดๆทำให้เข้ากันได้ดีกับอาหารอินเดีย ผมสังเกตว่าไวน์ทุกตัวที่ซอมเมอร์ริเย่เลือกมานั้นจะมีรสที่ค่อนข้างหนักเเละ กลิ่นของ Herb หรือ Spices อยู่เสมอ ทำให้เข้ากันกับอาหารอินเดียที่รสฉุนเผ็ดร้อนได้อย่างดีเลยล่ะ




จานต่อมาเป็นอีกจานที่ผมชื่นชอบในมื้อนี้ครับ กับ The disapearing duck เชฟบอกกับเราว่าได้เเรงบันดาลใจตอนไปฟารม์ของทางร้านที่เชียงใหม่แล้วเป็ดวิ่งหนีเชฟหายไปหมด(สงสัยรู้ว่าจะโดนอะไร)เชฟเลยเหลือเเต่ไก่มาทำอาหารจานนี้ จานนี้เป็นไก่ทอด ข้าวเหนียว กับเเกงขมิ้น มูสรูปเป็ดที่ทำจากขมิ้นกับถั่วลูกไก่ เเละผักเขียวจากฟาร์มภายในร้าน


จานนี้การผสมผสานลงตัวอย่างสุดยอดเลยครับ การจับคู่เเกงรสฉุนร้อนนิดๆที่มีความมันหวานแฝงจากถั่วลูกไก่กับตัวไก่ทอดนั้นลงตัวเอามากๆ


ตัวไก่นั้นแม้จะมีเเป้งที่หนา เเต่กรอบมากๆ เครื่องเเกงที่ผสมในเเป้งชวนน้ำลายสอ

เนื้อไก่มันนุ่มมากๆ นุ่มในระดับไม่ต้องกัดยังขาด เรียกว่าผมตะลึงเลยครับว่าไก่ทอดจะทำให้นุ่มอร่อยได้ขนาดนี้


ในส่วนของข้าวนั้นเชฟเลือกใช้ข้าวเหนียวของไทยเเทนข้าวบัสมาติเเบบอินเดียที่เเข็งๆ ผมว่าข้าวเหนียวก็มีความเเข็งนิดๆเเต่นุ่มกว่าเข้ากับกับเเกงเเละได้ดีทีเดียวครับผักเเนมนั้นมีผักตัวนึงที่เชฟเรียกว่าอินเดียวาซาบิ มันให้กลิ่นฉุนเย็นหวานเเบบวาซาบิตัดกับความร้อนของเเกงได้ดีทีเดียวครับ จานนี้เรียกได้ว่าเพอร์เฟ็กค์มากๆ




เเก้วต่อมาซอมเมอร์ริเย่ของเราเลือกเสริฟ์เป็นไวน์ขาวจากออสเตรีย โดยเขายังบอกกับเราว่าหลักการกำหนดมาตราฐานใหม่เเล้วไวน์ออสเตรียเป็นหนึ่งในไวน์ที่มีการควบคุมที่เข้มงวดที่สุดในโลก



เบรคความร้อนเเรงจากเเกงจานที่เเล้วกันกับจานที่รสเบาๆกันบ้างครับ กับเทอรรีนจากเมล่อนครับ โดยเชฟจะฉีดเเกงสามชนิดคือ เขียวหวาน มัสมั่น และ เเกงแดงอินโดจับคู่กับโฟมเเกง และท็อปด้านบนด้วยไอติมรสต้มข่ากับคาเวียร์จากไวน์แดงที่ทำในไทยและแป้งสาคู


เมล่อนกับเเกงนั้นเจ๋งดีครับมีรสที่เเปลกดี ความเย็นหวานกับเมล่อนตัดกับกลิ่นฉุนร้อนของเเกงเเต่ความลงตัวของเมล่อนกับเเกงยังดูขัดๆกันอยู่ ตัวเเกงเขียวหวานกับเเกงอินโดนั้นมีกลิ่นออกดีมากเเต่ส่วนตัวผมว่ามัสมั่นนั้นยังไม่ค่อยได้กลิ่น ยังไงก็ตามสิ่งที่ผมชอบในจานนี้คือคาเวียร์ที่รสค่อนข้างเปรี้ยวนัวๆกินเปล่าๆไม่อร่อยเลย เเต่พอกินกับเชอเบทต้มข่ารสหวานเเล้วเข้ากันลงตัวอย่างพอดีเป๊ะ



เเก้วถัดไปคือไวน์โรเซ่จากเเคว้นโพรว้องค์ในประเทศฝรั่งเศส




จานต่อมาเป็น Prawns on the rock ซึ่งเป็นสารพัดกุ้งนานารูปแบบครับ

คำเเรกเป็น เนื้อกุ้งกับดีไฮเดรทซัมบัล(Sambal) เนื้อหวานของกุ้งที่เสริฟมาดิบนิดๆมีรสหวานมากๆตัดกับรสเปรี้ยวนิดๆผงซัมบัล ที่กินๆไปรสคล้ายผงวิงไก่เเซ่บเหมือนกัน


ตัวหัวกุ้งเป็นคำที่ผมชอบมากๆอีกคำนึง โดยเชฟจะนำหัวกุ้งที่ทอดจบกรอบไปยัดไส้กับหอมใหญ่ มะขาม พริก เเละเครื่องเทศ คำนี้หัวกุ้งทอดได้ดีมากไม่เเข็งบางกรอบหอมกลิ่นกุ้ง ตัวไส้รสหวานเปรี้ยวหอมสดชื่นด้วยกลิ่นสมุนไพรเข้ากุ้งได้ดีเลยทีเดียว


คำสุดท้ายเเค็รกเกอร์กุ้งกับโฟมรสShikanji Shikarnjiเป็นเครื่องดื่มดับร้อนของอินเดียในเเคว้นปัณจาบซึ่งประกอบด้วย มะนาว เม็ดผักชี เเละมิ้นท์ คำนี้เเคร็กเกอร์รสกุ้งเค็มอมหวานตัดกับรสโฟมรสเปรี้ยวนำ กลิ่นมิ้นท์ ฉุนเม็ดผักชีนิดๆ ตบท้ายด้วยความหวานเจี๊ยบ รสทุกอย่างทั้งหมดจบลงอย่างรวดเร็ว เป็นคำกินเเล้วสดชื่นตื่นเต้นน่าสนใจดีครับ




Haoma in a bite นั้นมีการเสริฟ์ที่น่าสนใจทีเดียวครับทางทีมงานกะเวลาได้เก่งมากๆ ผมอยากเซอร์ไพรส์ทุกท่านยังไงไปลองกันได้เองครับ โดยจานนี้จะใช้วัตถุดิบที่ผลิตภายในร้านเเห่งนี้ทั้งหมด โดยมีส่วนประกอบคือปลาดิบ โฟมสมุนไพร มัสตาร์ด และ ดอกเข็ม คำนี้ตัวเนื้อปลานุ่มมากๆๆครับมีรสมันนิดๆ หอมดอกไม้นิดๆ มีรสเปรี้ยวปลายลิ้นหน่อยๆ เข้ากันได้ลงตัวกับปลา เเต่โดยส่วนตัวถ้าเทียบกันกับคอร์สทั้งหมดเเล้วผมว่าคำนี้รสค่อนข้างอ่อนไปนิดสำหรับคอร์สอาหารรสจัดจ้านของที่ร้าน





จานต่อมาเป็นอาหารจานขนมปังครับ โดยเชฟเลือกเสริฟ์ขนมปังใส่เครื่องเทศสไตล์ราชาสถาน พร้อมกับชัทเนย์สามชนิดอย่าง ดิปมะเขื่อม่วง ดิปมะเขือเทศ เเละมะม่วงกับมะนาว โดยรับประทานจากเนยนมควายไทยทำเองของทางร้าน ที่ให้มาสองรสคือเนยเขียวสมุนไพร และ เนยปกติ โดยบริกรของเราเเนะนำให้ปาดเนยบนขนมปังใส่เครื่องเคียงทุกอย่างรวมกันแล้วกิน


คำเเรกผมกินขนมปังเปล่าผสมกับเนยตัวขนมปังนั้นฟูข้างในเปลือกค่อนข้างเเข็งกรอบหอมกลิ่นเครื่องเทศจางๆ ตัวเนยนั้นผมต้องขอยกนิ้วให้กับความสุดยอดของมันที่กล้าใช้นมควายจากไทยเเทนนมควายจากอิตาลี แม้อาจจะไม่เข้มข้นเเบบเนยนมวัวหรือนมเเพะนำเข้าเเต่มันไม่มีความสาบคาวเเม้เเต่น้อย ไม่เเพ้ผลผลิตจากนมควายอิตาลีเลยครับ เนยเนื้อเบาฟูนุ่ม หอม สุดยอดมากครับ


ส่วนอีกคำผมลองใส่เครื่องเคียงต่างๆ ผมว่าอร่อยดีในความหลากหลายรสชาติที่ผสมผสานลงตัวทั้งเปรี้ยวหวาน เค็มมัน เเต่คงไม่ว้าวทึ่งประหลาดใจเท่าคำเเรก





เเก้วนี้เป็นไวน์โรเซ่จากเเคว้นเเชมเปญครับ ซึ่งใชองุ่นพิโน นัวร์ 100เปอเซ็นต์ ซึ่งค่อนข้างเเปลกสำหรับผู้ผลิตไวน์จากเขตนี้ เเก้วนี้มี​สีเข้มสวย รสกลางๆไม่หวานมาก มีกลิ่นหอมของราสเบอรรี่จางๆ มันเข้ากับTikka masala ได้อย่างน่าประหลาดเลยละ





ตัวนี้คือ tikka masala หนึ่งในอาหารอินเดียที่ขึ้นชื่อที่สุด ผมต้องบอกว่าในเเง่ไอเดีย tikka masalaของที่นี้อาจจะไม่ได้เเปลกใหม่มากนัก เเต่มันก็อร่อยดีครับโดยเชฟจะเสริฟ์ไก่ย่างสมุนไพรเเยกกับเชอเบทรสเเกงมาซาล่า เคียงคู่ด้วย มิ้นทซอส ชัทเนย์ขนุนกับเชลอต และแป้งนานเบรด


จานนี้ตัวนานของที่นี่มีสัมผัสที่ฟูเเปลกกว่านานที่ผมคุ้นเคยมีกลิ่นหอมเนย เเต่ความสุดยอดของจานนี้อยู่ที่ไก่ย่างร้อนที่เเสนนุ่มนั้น ความร้อนของไก่ตัดกับมาซาล่าเเสนเย็นเเต่รสชาติเเสนร้อนเเรง สร้างผิวสัมผัสที่ที่สนุกในปากให้ผมเป็นอย่างยิ่ง ตัวเครื่องเคียงนั้นอร่อยมากๆ ขนุนนั้นหวานหอมฉุนเเชลอตนิดๆ ช่วยชูรสไก่ได้อย่างลงตัวดีเลยครับ





แก้วถัดไปซอมเมอริเย่เลือกเสริฟ์ ไวน์ชีราสจากเขตซานตาบาบาร่าในเเคลิฟอเนีย เเก้วนี้มีรสของราสเบอรี่ ทับทิม เทนนินค่อนข้างจาง ส่วนตัวผมคิดว่าไวน์สำหรับเนื้อจานถัดไปควรจะเเน่นกว่านี้เเต่เเก้วนี้ก็ให้รสหวานที่ขับรสเนื้อได้ดีเหมือนกัน





Chettinnad Beef Curry เป็นหนึ่งในจานที่เยี่ยมที่สุดในมื้อนี้อย่างไม่ตรงสงสัย โดยเชฟนำมาเสริฟ์เเกงมาพร้อมกับไขกระดูกวัวเเละเสริฟ์พร้อมกับเนื้อวัวทาร์ทาร์ คีนัว เเชลอต ก่อนรมควันด้วยไม้กฤษณา เชฟดัดเเปลงอาหารจานนี้จากเเกงของเมืองChettinnadในภาคใต้ของอินเดียที่ขึ้นชื่อเรื่องความซับซ้อนของเครื่องเทศ จานนี้เป็นจานที่ส่วนตัวผมว่าอร่อยที่สุดในมื้อนี้อย่างไม่ต้องสงสัย รสเเกงที่เค็มเผ็ดร้อน หอมเครื่องเทศในเเกงอุ่น ตัดกับความเย็นเเละความหวานเนื้อทารทาร ตัวเนื้อนั้นเเม้ไม่มีมันมากเพราะเป็นสันในเเต่กลับหวานเอามากๆเมื่อกินกับเเกง ในส่วนของไขกระดูกวัวที่ปกติผมว่ามักจะมันเลี่ยนเกินพอดีไป พอกินกับเเกงอินเดียเเบบนี้เเล้วมีเนื้อมีหนังให้เคี้ยวสักหน่อยก็ลงตัวดีเหมือนกันครับ ตัวคีนัวคั่วนั้นช่วยสร้างมิติหอมเเบบงาเเละเพิ่มความกรุบกรอบทำให้จานนี้เพอร์เฟ็กต์สำหรับผมเลยทีเดียว





จานเเรกของขนมหวาน บริกรของเราเเซวว่ามันคืออินเดียโอริโอ้ จานนี้ประกอบด้วยช็อคโกเเลตคุกกี้ครัมเบิ้ล พานาคอตต้าโยเกริต์ กับ เกล็ดไอติมรสโอริโอ้คาดาม่อน จานนี้รสเเปลกไปนิดสำหรับผม มันมีความเปรี้ยวโปร่ง ฉุนเครื่องเทศ หวานนิดๆ ขมหน่อยๆ รสยากจะอธิบายจริงๆครับ




สำหรับสวีทไวน์ที่เสริฟ์มานั้นรสจะไม่ค่อยหวานมากนักเป็นไวน์ใหม่ที่ไม่ได้บ่มมานานนัก เเละผลิตจากองุ่นมุสเเคท100เปอร์เซ็นต์ ทำให้รสของไวน์ไม่หนักจนกลบรสของขนมหวานที่ไม่หวานมากนักได้อย่างลงตัว ไวน์เเก้วนี้มีรสที่น่าสนใจทีเดียวครับมีความสดชื่นกรีนนี่นิดๆ ฮันนี่หน่อยๆ บาลานซ์ดีทีเดียว



จานต่อมาเป็นขนมหวานชื่อ Nadiaซึ่งเเปลเป็นภาษาไทยว่าพระจันทร์ โดยจานนี้เชฟทำให้เเฟนเก่าชื่อมูนตอนที่คบอยู่ จานนี้ประกอบด้วยลูกบัทเตอร์ควอทครีม ไอศครีมรสสตอเบอรรี่และกุหลาบ สปองค์เค้ก สตอเบอรรี่สด เเยมกุหลาบ เเยมยุสุ ซอสรสกระเจี้ยบ โดยจานนี้มีองค์ประกอบที่หลากหลายทั้งในเรื่องของรสชาติเทคนิคและวัตถุดิบเเต่บาลานซ์รสชาติได้ดีเลย





เพอร์ติตโฟร์ของเราเป็น เลม่อนเมอเเรงค์สอดไส้ยุสุเคริดท์ส่วนตัวผมว่าเมื่อเทียบกับจานอื่นๆในคอร์สเเล้วดูธรรมดาไปนิด ในส่วนรสก็หวานไปหน่อยโดยความรู้สึกส่วนตัว


ในอีกชิ้นเป็นดาร์คช็อคโกเเลตมูส คำนี้ในหลายๆที่โกโก้มักจะมีกลิ่นเปรี้ยวฟรุตตี้ซึ่งมันก็อร่อยดี เเต่ที่นี้ออกเเนวนัตตี้ขมหอมมันกว่า พอครีมนุ่มๆตัดกับเเป้งกรอบๆด้านล่าง ก็อร่อยดีเหมือนกันครับ



🍾Service : 8/10

🍽Food: 7.75/10

🤩WOW factor: 8.75/10

💰Value for money: 8/10


Total: 8/10



🗺เเผนที่ : http://haoma.dk/contact/

⏰เวลาเปิดปิด: 18.00-23.00

💵ค่าเสียหาย: ~2990++ Baht (plus 2590++ for beverage pairing)

⌨️เว็บไซต์ร้าน: http://haoma.dk


ช่องทางติดต่ออื่นๆ

Website: www.eatlikethebossth.com

InstaGram: @eatliketheboss (https://goo.gl/DqzWfN )

FaceBook: บอสพาชิม (https://goo.gl/gHPnnG)

Email : eatlikethebossth@gmail.com

ชอบช่วยกดไลค์ ใช่ช่วยกดเเชร์ #บอสพาชิม #eatliketheboss







Comentarios


bottom of page