top of page

PRU P lant R aise U nderstand

พรุ เป็นร้านอาหารมิชลินสตาร์ที่หาReviewได้น้อยมากๆ เมื่อผมมีโอกาสไป Phuketทั้งที จึงไม่พลาดที่จะนำรีวิวร้านนี้มาฝากกันครับ



คงเป็นเพราะด้วยทำเลที่ตั้งที่ยากเข้าถึง ทำให้pruนั้นเป็นร้านMichelin star ที่มายากเป็นอันดับต้นๆของไทย เเต่สำหรับผมPruนับเป็นจุดหมายที่ Foodieทุกคนควรมาลองจริงๆครับ


ผมเองนั้นก็เคยมาภูเก็ตหลายครั้งเเต่ส่วนใหญ่มาทำงานงานทำให้ไม่มีโอกาสได้มาPruสักที เพราะทางร้านเปิดเเค่เฉพาะ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ คราวนี้มาเที่ยวย่อมไม่มีทางพลาด


หลังจากผมขับขึ้นมาบนเขาเข้าในโรงเเรมตรีศรา ระหว่างทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ทิวไม้เเละวิวสวยเเสงทองของพระอาทิตย์ที่ค่อยๆลับขอบฟ้าจรดขอบน้ำทะเล ความเงียบสงบเเละบรรยากาศ ชวนให้ผมเเปลกใจว่านี้เป็นที่ตั้งของร้านอาหารหรูๆ ที่ได้รางวัลมิชลินสตาร์เเห่งเดียวในภูเก็ตอย่าง PRU จริงๆหรือ


ขอแนะนำให้มาถึงก่อนเวลานะครับ เพราะ วิวของที่โรงเเรมTrisara นั้นสวยงามและเงียบสงบมากๆ โขดหิน เสียงคลื่นเเละริ้วรอยที่ธรรมชาติสร้างไว้บนหาดทราย การเดินชมหาดนั่งรับลม ก่อนเริ่มมื้ออาหารนับเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆครับ


ปูลมที่วิ่งไปมาเเสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของชายหาดเเละการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ผมเริ่มไม่เเปลกใจเเล้วทำไม PRU ถึงเลือกที่จะอยู่ที่นี้


พอเริ่มค่ำเสียงจักจั่นเริ่มดังก็ถึงเวลาอาหารของเรา ผมเดินไปยังห้องอาหารที่มีเพียงแปดโต๊ะเพื่อเริ่มมื้ออาหารของเรา



เชฟ Jimmie Ophorst เป็นเชฟชาวดัชซ์ ความน่าสนใจของเชฟ Jimmy นี้คือเชฟที่ไม่เคยทำงานในร้านมิชลินสตาร์มาก่อนที่จะย้ายมาประเทศไทย เชฟเคยฝึกงานเป็นระยะเวลาสั้นที่ Gaggan (2*) ก่อนที่จะจะลาออกเเละทุ่มเทเวลาเต็มตัวให้กับร้าน PRU


เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุดิบของพลุมาจากฟาร์ม ชื่อพลุจำปา รวมถึงจากผู้ผลิตท้องถิ่นทั่วไทย ทั้งจากไชยา พังงา กระบี่ หัวหิน เชียงใหม่ หรือจะเป็นราชบุรี


Pru นั้นมีเฉพาะเซทเมนู 5คอร์สในราคา 4500++ เเละ 7 คอร์สในราคา5500++ ราคาอาจจะดูสูงเเต่เอาจริงๆเเล้วที่เเม้จะเขียนว่าเเค่เจ็ดคอร์สเเต่จริงๆเเล้วเสริฟ์มากกว่านั้นหลายจานเรียกว่าอิ่มจนเเถบคลานมากๆครับ





โดยสรุปผมว่าเมนูของ Pru เป็นมากกว่าร้านอาหาร Farm to Table มีจุดเด่นที่การนำเสนอการใช้วัตถุดิบของไทยอย่างได้เเปลกใหม่ ทั้งถั่วเน่า สะตอเบา สาโท ไข่เค็มไชยา จิคาม่า มีการเทคนิคปรุงอาหารที่ซับซ้อน มาตราฐานสูงเเละเนี้ยบทุกจาน มีการนำเสนอวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมที่เราไม่คิดว่ามีมาก่อนในไทย เช่นเนยทำเอง เนื้อเเกะจากราชบุรี ชีสจากเชียงใหม่ เเละที่เเปลกใจที่สุดเห็นจะเป็นสเตอร์เจี้ยนคาเวียร์ จากหัวหิน จะมีอะไรบ้างไปชมจากรูปกันครับ




Amuse bouche


P lant ทาร์ต dutch piccalilyเเละหน่อไม้ฟรั่งย่าง คำนี้เป็นการนำเสนอการจับคู่เเบบดัชซ์คลาสิกที่เเสดงให้เห็นถึงรากกำเนิดของเชฟ ในเเง่รสชาตินั้นตัวซอสเข้มข้นหอมกลิ่นยี่หร่านิดๆ มีรสเปรี้ยวนำอมเค็มหวานเข้ากับหน่อไม้ฟรั่งรสหวานได้อย่างลงตัว อร่อยครับ


R ise เเบล็คการลิคทาร์ตกับคาเวียร์จากห้วหินและซารดีนดอง เริ่มต้นเราจะได้รสหวานอันเป็นเอกลักษณ์จากแบล็คการลิคและรสเปรี้ยวนิดจากปลาก่อนปิดท้ายด้วยคาเวียร์รสเค็มละมุนกรุบๆ เป็นคำที่หลากหลายในเท็กเจอร์และรส กลิ่นอายทะเลที่แฝงอยู่ช่วยให้เรารู้สึกอยู่ริมทะเลจริงๆ เป็นคำที่ผมชอบมากๆครับ

U nderstand นั้นเชฟเสริฟ์เป็นเทมปุระคะน้าหยิกกับซอสxoบัทเตอร์นัทเเละดอกหางนกยูง ส่วนตัวไม่ชอบคำนี้ที่สุด เพราะตัวคะน้าหยิกออกเเข็งไปนิด ซอสxoให้รสครีมมี่หวานอมเปรี้ยว ก่อนตัดด้วย ดอกหางนกยูงให้กลิ่นหอมส้มๆสดชื่นเป็นเอกลักษณ์






Amuse Bouche จานสุดท้ายเป็น เสาวรสวินิเเกรต ข้าวโพด ข้างโพดอ่อนเเละออนท็อปด้วยผักเขียวจากสวน รสหวานข้าวโพดอ่อนที่กรุนกลิ่นควันนั้นตัดกับรสเปรี้ยวอมหวานของเสาสรสได้อย่างน่าทึ่ง ตัวซอสทำมาได้ดีมากๆ ผักเขียวช่วยเพิ่มความเขียวฉุนโปร่งให้กับจานนี้ ไร้ทีติครับทั้งในเเง่การปรุง องค์ประกอบ เเละรสชาติ





มาถึงจานขนมปัง ทางร้านใช้ไวท์ซาวด์โดทำเอง ทำมาได้ดีตามมาตราฐานเสริฟ์มาแบบอุ่นนิดๆ ส่วนตัวผมว่าผิวเเข็งไปนิดครับ


ในส่วนของเนยที่นี้ผมยกให้เป็นเนยที่ชอบที่สุดในไทยคู่กับที่ Chef table ที่ Le bua โดยเชฟใช้นมวัวจากกะบี่โรยด้วยเกลือจากน่าน ส่วนอีกตัวจะเอาไปรมควันกับมะเเควนเเละจิคาม่า ตัวเนยจืดดีมากๆครับประทับใจ ตัวเนยรมควัน เเปลกนิดๆมีกลิ่นซ่าๆซึ่งพอมาจับคู่นมวัวเเล้วดูแปลกๆ กับถ้าเป็นบราวบัทเตอร์น่าจะเข้ากันกว่านี้





ปลาช่อนทะเลกับซอเบทมัลเบอรี่และบีทรูท ใบชิโสะจากพังงา ผลมัลเบอรรี่ เทอนิปดอง ประทับใจมากๆครับ ตัวปลาบ่มมาห้าวัน ทำได้ดีมากๆไม่คาวไม่เหนียวมีรสเค็มนิดๆเนื้อมันกรอบ กลิ่นเอริธตี้จากบีทรูทนิด มัลเบอรี่เปรี้ยวเเละเทอนิปหวาน ตัวทีเด็ดคือชิโสะให้กลิ่นเผ็ดปลายจมูก ลงตัว ยอดเยี่ยมมากๆครับจานนี้





จานต่อมาเชฟได้เเรงบันดาลใจจากไข่เค็มไชยา โดยเสริฟ์มาเป็นซุปดาชิไซฟ่อนที่ใส่ผักแพรว เห็ดเข็มทอง เห็ดหอมเเห้ง เป๋าฮื้อฟาร์มจากเกาะเกาะสิเหร่ที่ขาย20%เเละปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ80% รับประทานกับไข่เป็ดดองน้ำเกลือเเละซูวี่ โรยด้วยผงเป๋าฮื้อ ออนท็อปด้วย เห็ดเข็มทอง กะถิ่น มะรุม ใบมะขาม มะเขือม่วง


ในเเง่เทคนิคการปรุงเเละสตอรี่ผมว่าจานนี้ดีมากๆ ซุปดาชิที่เปี่ยมความอุมามิหอมกลิ่นทะเลเเละเห็ดชวนหิวตัดกับรสเค็มละมุนในไข่เป็ด เเต่ส่วนตัวผมว่าผักที่ใส่มาในจานนี้ไม่ค่อยเข้ากันกับรสของไข่เเดง และดาชิอาจจะรสจัดไปนิดนิดเดียวจริงๆจนกลบรสความอร่อยของไข่ที่เป็นตัวเอกของจาน เเต่หากให้พูดว่าจานนี้อร่อยไหม อร่อยครับ





กุ้งเเม่น้ำตาปีเเช่สาโท1ชั่วโมง ก่อนนำไปpoachedในซอสถั่วเน่า รมควันไม้ลำไย เสริฟ์กับซอสถัวเน่า ดอดดาหลา ในตอนเเรกผมกังวลว่าถั่วเน่าจะเปนไง เเต่ทำออกมาได้ดีมากๆประทับใจครับ ซอสถั่วเน่ารสครีมมี่เข้มข้นหอมกลิ่นถั่วจาง เข้ากับกุ้งที่เด้งเนื้อเเน่นมากๆมีรสหวานเฉพาะจากสาโท ตัวที่ช่วยเพิ่มมิติให้กับจานนี้คือกลิ่นควันลำไยหอมหวาน เป็นจานที่ดีมากๆครับโดยเฉพาะเท็กเจอร์ของเนื้อกุ้งที่ประทับใจไม่รู้ลืม





มาถึงจานที่ไม่มีในเมนู ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ที่ไม่เคยถูกถอดจากเมนูของร้านอย่าง เเครอท โดยเชฟจะเอาเเครอทที่ปลูกเองมาห่อใบตองก่อนอบในดินกว่าหกชม รับประทานกับฮอเรนดิชซอสที่ทำจากน้ำเเครอทกับไขเค็มที่เหลือจากอาหารจานอื่น เเครอทหวานมากๆหอมกลิ่นใบตอง ปีนี้ผมได้กินเเครอทที่อร่อยมากๆอย่างSable Carrot ที่ Les amis(3*) ช่วงก่อนโควิด ผมต้องบอกว่าเเครอทที่ pru jampa ปลูกดีไม่เเพ้กันครับ ตัวที่ประทับใจเป็นซอสที่ทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆไข่เค็มนิดๆครีมมี่กับความหวานอมเปรี้ยวของเเครอท ดีมากๆ





จานต่อมาเชฟเสริฟ์ คาเวียรสเตอร์เจี้ยนที่เลี้ยงเเบบฟาร์มที่หัวหิน รับประทานกับซันโช้คครีม ซันโช้คเเช่เกลือรมควันตะไคร้ ซอสกระดูกปลาสเตอร์เจี้ยน ต้นหอม เเละน้ำมันต้นหอม ตัวซอสนี้บริกรบอกกับเราว่ามีคอลาเจนเยอะดีต่อผิวมากๆ


จานนี้เป็นหนึ่งในจานที่ผมประทับใจที่สุดในมื้อครับ ความประทับใจเเรกคือคาเวียร์นั้นคุณภาพดีอย่างไม่น่าเชื่อ ซันโช้คปรุงมาได้ดีงาม นิ่มรสหวานมากๆตัดกับรสเค็มคาเวียรลงตัว ตัวซอสรสเข้มข้นอุมามิหอมควันจาง ต้นหอมและออยหอมช่วยเพิ่มกลิ่นฉุนปลายจมูกนิดๆเเละทำให้ซอสเข้ากันกับทุกอย่างและยกจานนี้ขึ้นไปอีกระดับ เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมทั้งในเเง่วัตถุดิบ ความคิดเเละเทคนิคการปรุงครับ





เป็ดฟรีเเรนซ์ที่เลี้ยงในเพชรบูรณ์ เเช่น้ำผึ้งดรายเอจห้าวันก่อนนำมาทำให้หนังกรอบรับประทานกับซอสกระดูกเป็ดที่ผ่านการรีดักซ์ชั่นกว่าสี่รอบ เคียงด้วยเห็ดหอมกับครีมเห็ด สะตอเบา


จานนี้ตัวเป็ดนั้น เนื้อตามมาตราฐานร้านอาหารมิชลินสตาร์ มีรสเข้มข้นสไตล์เนื้อดรายเอจ จานนี้สิ่งที่น่าสนใจคือกะถินครับเข้ากันกับเห็ดเเละเป็ดได้ดีมากๆ นอกจากนี้ยังช่วยตัดเลี่ยนเป็ดที่เเสนเข้มข้นได้อย่างลงตัว เป็นจานที่ดีอีกเช่นกันครับเเต่คุณภาพเนื้อเป็ดนั้นหากเทียบในร้านอาหารระดับสูงเเล้วอาจจะต้องยกระดับอีกสักนิด





ขนมปังจานที่สองเชฟเสริฟ์เป็น Brioche กรอบอุ่นกำลังดี มีเท็กเจอร์ฟูเบา





มาถึงจานที่ผมตั้งตารอมากที่สุด กับเเกะอาหารปราบเซียนร้านไฟน์ไดน์นิ่ง ฮ่าๆ ยิ่งพอบริกรบอกว่าใช้เเกะที่เลี้ยงในไทยนี้ผมรีบสั่งเลยครับน่าสนใจจริงๆ โดยเชฟเลือกใช้เเกะอายุน้อยจากราชบุรี นำมาถึงสองส่วนคืออกเเละสัน โดยเชฟเอาไปดรายเอจเเละย่าง. ก่อนราดด้วยซอสเเกะที่ทำจากส่วนขาเเละคอ รับประทานกับผักกูด อัลมอนต์คัสตารด์และเเตงกวา


ในจานนี้ผมชอบการจับคู่กับผัก ความมันๆจากอัลม่อนต์ ผักกูดขมนิดๆ รสหวานอมเปรี้ยวของเเตงกวานั้นทำมาได้ยอดเยี่ยม อร่อย ด้วยตัวของมันเอง ผักกูดเข้ากับเเกะได้ดีทีเดียว อีกสิ่งที่ประทับใจคือการเสริฟ์เนื้อสองเเบบที่ต่างกันสุดขั้ว ตัวนึงนุ่มมากๆไม่ต้องเคี้ยว เเต่อีกตัวนึงเหนียวต้องเคี้ยวพอสมควร หนังก็ย่างได้มีเท็กเจอร์ที่น่าสนใจจริงๆเเต่อาจจะเหนียวไปนิด เนื้อเเกะทั้งสองมีความเข้มข้นตามสไตล์ดรายเอจ เนื้อไม่มีความฉุน ถือว่านำเสนอได้น่าสนใจเเต่ผมว่าเเกะมันยังไม่ว้าว





ชีสที่นี้จะมาเป็นรถเข็นให้เราเลือกเเละผมเเนะนำว่าควรต้องลองทุกตัวจริงๆครับ เพราะมีชีสหลายชนิดที่ที่หาทานได้ยาก รวมทั้งชีสทั้งหมดเป็นของผู้ผลิตในไทย


ในส่วนของ เครื่องเคียงมี ขนมปังขิง ขนมปังผลไม้ องุ่นเเห้งโครงการหลวง ชัทเนยผลไม้ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล


จานนี้ในเเง่ความประทับใจผมให้สิบเต็มสิบ โชวเคสออฟไทยชีส ในเเง่คุณภาพเเล้วอาจจะเทียบกับผู้ผลิตดีๆในต่างประเทศไม่ได้ เเต่คุณภาพก็ดีไม่หยอกเลยครับ condimentต่างๆก็ดีมากๆ ที่ผมชอบเป็นพิเศษเห็นจะเป็นขนมปังขิง






จานล้างปากของเราเป็นการนำเอาวัตถุดิบที่โด่งดังที่สุดของภูเก็ตมานำเสนอ สัปปะรดภูเก็ตอบมะเเขวน แป้งพัฟ ครีมแอปเปิ้ล เเละซอเบทโหระพา


ตัวสัปปะรดคุณภาพดีมากๆ อร่อยมากรสเปรี้ยวอมหวานเเล้วหวานอมเปรี้ยวละมุนครีมแอปเปิ้ล ตัดรสเผ็ดนิดๆมะเเขว่นได้ดีมากๆ ชวนให้นึกถึงพริกเกลืออยู่นิดๆ ตัวชอเบทก็ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ






จานขนมหวานของที่นี้ผมว่าขนมหวานที่หลุดโลกที่สุดในร้านมิชลินเมืองไทยเเล้ว มันเเกวเค้ก ไอศครีมมันเเกวย่าง ลำไย กับ ผิวมะนาว ชิพผงกะหรี่ น้ำมันผงแกงกะหรี่


เป็นรสชาติที่ยากจะอธิบายเเละยากจะลืมครับ ถามว่าผมชอบไหม คงต้องบอกว่ามันประทับใจผมที่สุดในมื้อถึงขนาดกินไปยิ้มไป เเต่บริกรว่าหลายๆท่านไม่ชอบ ตัวเค้กมันเเกวให้เท็กเจอรืที่หนึบนิดๆน่าสนใจ ตัวไอซ์ครีมนั้นมีรสหวานมันหอมกลิ่นควันนิดๆคล้ายไอซ์ครีมกระทิ ตัวลำไยนั้นนั้นช่วยเพิ่มความหวานที่แฝงความร้อนนิดๆในปากตัดกับผิวมะนาวเชื่อมหวานปนขม ทั้งสองช่วยเป็นตัวเชื่อมโยงกลิ่นอายผงกะหรี่รสเผ็ดนิดๆให้เเข้ากับขนมหวานอย่างไม่เก้อเขิน ซับซ้อนเเต่เข้ากันสุดๆ ไร้ที่ติ ขอชื่นชมกับความคิดสร้างสรรค์เเละความสุดยอดในจานนี้ครับ





ปิดท้ายมื้อด้วย

เม่ล่อนกับมะกรูด

เมเดลีนถั่วเน่า

คาเนเล่ลูกกระบก

พาสตรีพัฟกับกล้วย

ไวท์ช็อคโกเเลตชุมพรเเละเลม่อนเยลลี่

ทรัฟเฟิลช็อคโกเเลตจากเชียงใหม่




🍾Service : 8.5/10

🍽Food: 8/10

🤩WOW factor: 8.5/10

💰Value for money: 7.75/10


Total: 8.5/10



🗺เเผนที่ : https://goo.gl/maps/f17jN178aeZkhz948

⏰เวลาเปิดปิด: ศ,ส,อา,จ 6–10:30PM

💵ค่าเสียหาย: ~7000 Baht / person

⌨️เว็บไซต์ร้าน: http://prurestaurant.com/


ช่องทางติดต่ออื่นๆ

Website: www.eatlikethebossth.com

InstaGram: @eatliketheboss (https://goo.gl/DqzWfN )

FaceBook: บอสพาชิม (https://goo.gl/gHPnnG)

Email : eatlikethebossth@gmail.com

ชอบช่วยกดไลค์ ใช่ช่วยกดเเชร์ #บอสพาชิม #eatliketheboss


Comments


bottom of page