จานล้างปากของเราเป็น เชอรรี่กรานิเต้กับโยเกริต์ จานนี้มีรสเปรี้ยวหวานมันนิดๆจากโยเกริต์เเต่ที่ผมชอบเลยคือมันมีกลิ่นซินาม่อนนิดๆที่ช่วยทำให้จานนี้เเตกต่าง
กลับมากิน Svaelberg ร้านอาหารMichelin Star หนึ่งดาวย่านวิทยุ หลังจากที่ไม่ได้มานานเเล้วครับเพราะเดือนที่เเล้วมีโปรลด20%สำหรับเซ็ทคอร์ส ในวันนี้เชฟ Hank Savelberg อยู่ร้านด้วยตัวเองเลยครับ ผมเคยเขียนถึง Savelbergไว้นานเเล้วคราวนี้จึงถือโอกาสเขียนรีวิวครับ
.
เชฟ Hank มีประวัติที่น่าสนใจอย่างนึงครับคือตอนสมัยเด็กเขาสมัครเข้าเป็นนาวิกโยธิน เเต่ภายหลังประสบอุบัติเหตุจนทำให้ต้องเลิกอาชีพทหารจึงหันมาเดินอาชีพสายเชฟ ก่อนที่จะฝึกกับเชฟชื่อดังหลายๆท่านจนตกหลุมรักใน nouvelle cusine ที่เขานำมาผสมผสานกับอาหารดัชซ์จนได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ในที่สุด เชฟ Hank เรียกว่าเเก่เเต่เก๋าครับ เเม้จะย้ายร้านมากี่ครั้งก็ได้มิชลินสตาร์ทุกคราวไปเป็นเวลาติดต่อกันยี่สิบกว่าปีเเล้ว และหลังจากปิดตัวร้านอาหารที่เนเธอร์เเลนด์ลง เชฟแฮงก็ได้เลือกกรุงเทพเป็นรังเเห่งใหม่ของเขา
.
ในวันนี้ผมลองเซ็ทคอร์สตัวถูกหกจานในราคา 3900 ไม่ใช่เพราะประหยัดยุคโควิดเเต่อย่างใด เเต่เพราะรู้สึกว่าไม่ได้อยากกินเเละมีความคุ้มค่าเท่าไหร่กับ คาเวียร์เเละขนมหวานอีกจานในคอร์สแปดจานกับราคา5500ที่กระโดดขึ้นมาพอสมควร
อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเเละราคาย่อมเยาว์คือ เซ็ทอาหารกลางวันราคา1,600++ที่ย่อมเยาว์กว่าเเละใช้เวลารับประทานน้อยกว่า(ขนาดผมทานคอร์สหกจานยังปาเข้าไปสองชั่วโมงกว่าเลยครับ)
.
โดยรวมอาหารในมื้อนี้ทำให้ผมหายคิดถึงอาหารไฟน์ไดน์นิ่งในเเบบยุโรปเเบบคอร์สเลยครับมันเเสดงเทคนิคการปรุงที่ซับซ้อนเเละหลากหลาย รวมทั้งเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของอาหารดัชซ์ที่หากินได้ยากอย่างการใช้วัตถุดิบซีฟู้ด รสเปรี้ยวหวานของผลไม้ การใช้เครื่องเทศรสร้อนเเรง ในอีกทางนึงร้านนี้ก็มีส่วนที่เป็นอาหารฟรั่งเศสมากพอดูจากอิทธพลที่เชฟได้รับตลอดอาชีพ
.
ส่วนที่ไม่ชอบเห็นจะเป็นความน่าเบื่อของคอร์สครับเรียกว่าเเก่นยังคงเดิมมาตั้งเเต่เปิดร้านไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนเเปลง จะเปลี่ยนที่พวกเครื่องเคียงเเละการปรุงรสเเต่ละจานนิดหน่อย จนอาจจะทำให้การกลับมากินซ้ำแอบน่าเบื่อไปนิด เเต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอาหารที่นี้มีการใช้เท็คนิคขั้นสูงเหมาะสมกับมิชลินสตาร์ทุกประการ
จะมีอะไรบ้างไปอ่านคำบรรยายในรูปกันครับ
Amuse Boucheคำเเรกเป็น ทาโก้ไส้โฟรกรา,กล้วยและเเมคคาเดเมีย คำนี้ตัวเเป้งจะเคลือบน้ำตาลหวานๆช่วยให้เข้ากับครีมกล้วยรสหวานเเละโฟรกราคานาร์ตรสมันนิดๆได้ลงตัว เสียดายนิดนึงที่ผมรู้สึกว่าตัวโฟรกรานั้นแอบเย็นไป เรียกว่าเข้าปากเเล้วยังสะดุ้งกับตัวเเป้งทาโก้ที่พอเคลือบน้ำตาลแล้วส่วนตัวว่าเเข็งไปนิดจนเท็กเจอร์ตัดกับโฟรกราและกล้วยมากไปหน่อย เเต่นอกนั้นทำได้ยอดเยี่ยมมากๆครับ
ตัว Amuse Boucheคำที่สองนี้คือเพริล์ คำที่ถ่ายรูปสวยมากมากี่ทีก็ชอบครับ ไข่มุกทำจากเยลลี่สอดไส้กุ้งรับประทานกับโฟมขิงและคีนัว คำนี้ผมว่าวันนี้กุ้งแอบมีกลิ่นนิดๆเเต่ก็ไม่ได้เเรงจนน่าเกลียด ตัวผักดองด้านล่างรสเปรี้ยวหวานเจือเผ็ดร้อนนิดๆจากผงกะหรี่เข้ากับกุ้งได้ดีมากๆ โฟมขิงที่ให้รสร้อนเเรงติดปลายลิ้นช่วยสร้างมิติให้คำนี้น่าสนใจยิ่งขึ้น ก่อนจะตบท้ายด้วยลูกเล่นความกรุบกรอบจากคีนัวเเละหนึบหนับจากเยลลี่ โดยรวมทำได้ดีครับเป็นคำที่ให้ความรู้สึกถึงอาหารดัชซ์กับผมมากๆ
มาต่อกันAmuse Bouche จานสุดท้ายทอตีย่าชอริโซ่กับโฟมมันฟรั่ง ผมแอบคิดในใจสรุปนี้มันร้านอาหารดัชซ์หรือป่าวฟระ เเต่ถ้าตัดประเด็นนั้นออกไปผมว่าคำนี้ดีที่สุดในAmuse Bouche วันนี้ รสหวานนิดๆกลมกล่อมของมันฟรั่งกลิ่นหอมนวลตัดกับรสเผ็ดร้อนอมเปรี้ยวหวานจากของไส้กรอกชอรีโซ่เเละซอสมะเขือเทศได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้เชฟยังเพิ่มมันฟรั่งซูเฟย์ด้านบนที่ช่วยเพิ่มเท็กเจอร์กรุบกรอบเเละทำให้จานนี้มีมิติยิ่งขึ้น อร่อยมากๆครับ
เข้าสูอาหารจานเเรก ล็อปสเตอร์กับส้มโอเเละสารพัดผักดองอย่างผักดอง เเครอท บีทรูต เคียงด้วยโฟรกราร็อคครับ
องค์ประกอบในจานนี้ดีทีเดียวซับซ้อนรสชาติหลากหลายเเละลงตัวมากๆ ตัวล็อบสเตอร์ถูกย่างมาสุกระดับเพอร์เฟ็กต์เนื้อหนึบกรอบนิดๆ เนื้อหวานของล็อบสเตอร์ถูกชูให้เด่นด้วยเกลือซึ่งตัดกับรสเปรี้ยวหวานส้มโอได้อย่างลงตัว เจลสัปปะรดด้านล่างเป็นตัวเชื่อมทั้งสองเข้าด้วยกัน
อีกส่วนที่ผมประทับใจเป็นพิเศษเห็นจะเป็นสารพัดผักดอง ราดิชซาวดครีมเเละเซอรราโน่เค็มมันเปรี้ยวนิดๆ เเตงกวาเเสนสดชื่นที่กลิ่นผักชีลาวอ่อนๆ เเครอทรสหวานกรอบ เเละสุดท้ายบีทรูทที่มีกลิ่นเอริธ์ตี้ขมจางๆ ซึ่งล้วนเเต่เข้ากับล็อปสเตอร์เเละชูมันให้เด่นขึ้นได้อย่างลงตัว
ส่วนที่ผมรู้สึกว่ามันไม่เข้ากับตัวหลักของจานคงจะเป็นโฟรกราร็อคด้านข้าง ผมว่าผิวช็อคโกเเลตหนาไปนิดจนกลบกลิ่นเเละรสของไส้โฟรกรา มันมีความมันหวานจนอาจจะทำให้จานนี้เสียสมดุลไปสักนิด
หอยนางรมกับการ์นิเต้จินแอนด์โทนิคอีกจานขึ้นชื่อของที่นี่ครับ เเว๊บเเรกที่เข้าปากเย็นมากกก555+ รสเค็มในตัวหอยนางรมฟินเดอเเคร์ตัดกับรสขมอมหวานหอมเย็นของกรานิเต้จินโทนิค ก่อนตัดท้ายด้วยความฉุนต้นหอมเเละรสเปรี้ยวหวานในพอนซึที่ทำให้กรานิเต้เเละหอยนางรมไม่โดดออกจากกัน
อีกอย่างผมชอบในจานนี้เห็นจะเป็นกลิ่นหวานแฝงของเมล่อนเเละความสดชื่นจากเเตงกวาที่ช่วยยกมิติจานนี้ไปอีกระดับ เป็นคำที่ดีมากๆครับถ้าไม่รู้สึกเย็นจิ๊ดในปาก
Turbot เป็นจานที่ผมชอบที่สุดในมื้อนี้ อาหารจานปลาของSavelbergยังคงเชื่อใจได้ในทุกคราว ปลาเทอร์บอตจากทะเลเหนือถูกเสริฟ์กับซอสมันฟรั่งเเละต้นหอม มันฟรั่งกรูตง มันซูเฟย์ และมันบด ก่อนออนท็อปด้วยคาเวียร์
ปลาในวันนี้ยังคงชุ่มฉ่ำเนื้อเด้งมันเช่นเคย รสมันนิดๆในเทอร์บอตเข้ากับความมันหวานของมันฟรั่งได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนจะเพิ่มความเค็มปลายลิ้นนิดๆด้วยคาเวียร์ ต้นหอมช่วยเพิ่มรสฉุนเขียวบางๆเพื่อไม่ให้เลี่ยนไปนัก เท็กเจอร์ที่หลากหลายจากสารพัดมันฟรั่งนั้นยิ่งช่วยเพิ่มความสนุกให้กับจานนี้ เป็นจานที่เเสดงถึงเทคนิคการทำอาหารระดับสุดยอด อร่อยเเละลงตัวมากๆครับ
สวีทเบรดเสริฟ์กับ กรีนบีน เเครอท เฮเซลนัท และ อาติโช้ค ร้านSavelbergถือว่ากล้ามากที่เอาจานนี้ใส่ในคอร์ส เเต่ผมพอทานเข้าใจว่าทำไมมันเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการปรุงสวีทเบรดในเเบบคลาสสิกครับ
สวีทเบรดในที่นี้ไม่ใช่ขนมปังนะครับมันเป็นอวัยวะส่วนนึงของลูกวัวหรือเเกะ ซึ่งบริกรไม่ได้อธิบายไว้ว่าจานนี้เป็นอะไรสงสัยกลัวคนสยอง เเต่หากเปิดใจจานนี้ยอดเยี่ยมมากครับ
สวีทเบรดที่นี้กรอบบางๆที่ผิว เท็กเจอร์เฉพาะตัวที่หยุ่นๆเเต่ไม่เหนียวเเต่กลับนุ่มไม่เหม็นเเม้เเต่น้อยปรุงมาได้ในระดับเพอร์เฟ็กซ์เลยครับ
ส่วนตัวซอสฮอเลนดิชก็ปรุงมาดีมากๆรสเปรี้ยวอมหวานไม่เลี่ยนมันหนักไปเเบบหลายๆที่ซึ่งช่วยตัดรสเค็มเเละมันของสวีทเบรดได้อย่างสุดยอด
สำหรับการจับคู่ถั่วเขียวที่มีรสหวานช่วยทำให้จานนี้รสไม่หนักไปทางใดทางหนึ่งและกลับเข้ากับซอสได้อย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนจบท้ายเฮเซลนัทที่ช่วยเพิ่มความกรุบกรอบเเละให้กลิ่นเอริธตี้ตอนจบนิดๆอย่างงดงาม ยอดเยี่ยมมากๆครับ
จานหลักของผมเป็น นกกะทายัดไส้โฟรกรารับประทานกับข้าวโพดอ่อน,เเครอทและตัวซอสจากนกกระทาเป็นอีกจานที่ทำได้ดีครับ
ตัวนกกระทาเนื้อนุ่มมากๆผิวกรอบกรุบบางๆเเต่ขณะที่ไส้โฟรกราไม่โอเวอร์คุกจนละลายเละ
ตัวซอสก็ดีมากๆนะครับมันคล้ายกับซอสบอเดอร์เลส เข้มข้นและมีรสอุมามิเข้ากับนกกะทาได้ดีที่สำคัญมันช่วยตัดเลี่ยนโฟรกราได้ดีเเต่ก็ไม่ดูโดดเด่นจนเกินหน้านกกระทา ตัวเครื่องเคียงผักช่วยเพิ่มความหวานกลมกล่อมในจานทั้งยังช่วยให้จานนี้ไม่หนักไปนัก เป็นจานที่ทำได้ดีเลยครับ
จานล้างปากของเราเป็น เชอรรี่กรานิเต้กับโยเกริต์ จานนี้มีรสเปรี้ยวหวานมันนิดๆจากโยเกริต์เเต่ที่ผมชอบเลยคือมันมีกลิ่นซินาม่อนนิดๆที่ช่วยทำให้จานนี้เเตกต่าง
ขนมหวานเรียบเเต่สวยเเละมีความสลับซับซ้อนทีเดียวครับกับดัชซ์แอปเปิ้ลเค้ก โดยมันมีส่วนประกอบของ ครัมเบิล เอสพูม่ายูสุ แอปเปิ้ลคอมเต้ แอปเปิ้ลเขียวสด เลม่อนครีม เเละมูสโยเกริต์ รสที่หลากหลายในปากกับเท็กเจอร์เวลาเคี้ยวเเบบต่างๆ ค่อยๆร้อยเรียงเข้ามา ความสดชื่นจากแอปเปิ้ล,เลม่อน,โยเกริต์เเละยูสุนั้นเเผ่ซ่านที่ละนิดๆ
รสหวานและนุ่มของแอปเปิ้ลคอมเต้กับรสเปรี้ยวและกรอบของแอปเปิ้ลเขียว นั้นถูกเชื่อมประสานด้วยมูสโยเกริต์ก่อนปิดท้ายด้วยความครีมมี่นุ่มละมุนของครีมเลม่อนเเละกรุบกรอบของครัมเบิ้ล
เป็นจานที่อาจะดูเรียบๆในยุคนี้เเต่ต้องบอกว่าทุกส่วนประกอบมันดีหมด เป็นจานที่เบาๆอร่อยเเละสดชื่นหลักจานมื้ออาหารที่หนักหน่วงเเละช่วยให้มื้อนี้จบลงอย่างสวยงาม
🍾Service : 7.5/10
🍽Food: 8/10
🤩WOW factor: 7/10
💰Value for money: 8/10
Total: 7.75/10
🗺เเผนที่ : https://goo.gl/maps/ayEUNgns6Knw9F7X7
⏰เวลาเปิดปิด: 12.00-14.00,18.00-22.00
💵ค่าเสียหาย: ~4000++ Baht
⌨️เว็บไซต์ร้าน: https://www.savelbergth.com/
ช่องทางติดต่ออื่นๆ
Website: www.eatlikethebossth.com
InstaGram: @eatliketheboss (https://goo.gl/DqzWfN )
FaceBook: บอสพาชิม (https://goo.gl/gHPnnG)
Email : eatlikethebossth@gmail.com
ชอบช่วยกดไลค์ ใช่ช่วยกดเเชร์ #บอสพาชิม #eatliketheboss
Comments